แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฎีกาว่า แม้จะบังคับให้จำเลยต่อสัญญาเช่าที่ดินให้โจทก์ 10 ปีไม่ได้เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 แต่ศาลน่าจะบังคับให้จำเลยต่อสัญญาเช่าให้โจทก์ 3 ปีได้ เมื่อข้อเท็จจริงในสำนวนปรากฏว่านับแต่สัญญาเช่าเดิมสิ้นอายุ โจทก์ได้ครอบครองที่ดินที่เช่ามาจนถึงเวลานี้เกิน 3 ปีแล้ว ฎีกาของโจทก์จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องวินิจฉัยต่อไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยให้คำมั่นไว้ในสัญญาเช่าที่ดินเดิมว่า เมื่อหมดอายุสัญญาเช่าเดิมนั้นแล้ว จำเลยจะยอมให้โจทก์เช่าต่อยืดอายุเวลาออกไปอีก ๑๐ ปี ครั้นสัญญาเช่าเดิมหมดอายุโจทก์ได้ขอทำสัญญาเช่าใหม่อีก ๑๐ ปีตามคำมั่นของจำเลยนั้น จำเลยปฏิเสธ ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยต่อสัญญาเช่าที่ดินให้โจทก์อีก ๑๐ ปี และให้จดทะเบียนการเช่า
จำเลยให้การว่า คำมั่นนั้นเป็นโมฆะเพราะขัดประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๓๘
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานทั้งสองฝ่าย แล้งพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกามาข้อหนึ่งว่า แม้จะถือว่าการบังคับให้จำเลยต่ออายุสัญญาอีก ๑๐ ปี ทำไม่ได้เพราะขัดประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๓๘ ก็ตาม แต่ศาลน่าจะบังคับให้จำเลยต่อสัญญาเช่าให้โจทก์ ๓ ปีได้ ที่ศาลพิพากษายกฟ้องทั้งหมดไม่ชอบ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวน โจทก์ได้ครอบครองที่ดินที่เช่ามาจนถึงบัดนี้ นับแต่วันสิ้นอายุของสัญญาเช่าเดิม เกิน ๓ ปีแล้ว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้จึงตกไปโดยไม่จำเป็นที่จะต้องวินิจฉัย.