แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่งและวรรคสาม (2), 66 วรรคสอง, 57, 91 และริบรถยนต์ของกลาง ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้คืนรถยนต์ของกลาง ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ยกคำร้อง คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับรถยนต์ของกลางไปดูแลรักษาในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์โดยมีหลักประกัน ซึ่งศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกคำร้อง การที่ผู้ร้องฎีกาขอรับรถยนต์ของกลางไปดูแลรักษา จึงอยู่ในบังคับของ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 18 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์เฉพาะการกระทำซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้เป็นที่สุดและมาตรา 19 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า คู่ความอาจยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องไปพร้อมกับฎีกาต่อศาลฎีกาภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลนั้นให้คู่ความฝ่ายที่ขออนุญาตฎีกาฟัง เพื่อขอให้พิจารณารับฎีกาไว้วินิจฉัยก็ได้ เมื่อผู้ร้องไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรา 19 วรรคหนึ่ง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงเป็นที่สุด การที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาผู้ร้องจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่งและวรรคสาม (2), 66 วรรคสอง, 57, 91 และริบรถยนต์หมายเลขทะเบียน บท 9034 ยโสธร ของกลาง ต่อมาผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นผู้ครอบครองรถยนต์ของกลางในฐานะผู้เช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อ ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ขอให้คืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง ศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องแล้วมีคำสั่งว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนทรัพย์ที่ริบเมื่อล่วงพ้นหนึ่งปีนับแต่คดีที่ศาลมีคำสั่งให้ริบทรัพย์ถึงที่สุด จึงล่วงเลยเวลาที่กฎหมายอนุญาต ยกคำร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เจ้าพนักงานตำรวจยึดรถยนต์ของกลางและเก็บไว้ด้านหลังสถานีตำรวจภูธรคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร เป็นเวลาเกือบ 2 ปี เครื่องยนต์และอุปกรณ์ต่าง ๆ มีความเสื่อมโทรมอย่างมาก ผู้ร้องขอรับรถยนต์ของกลางไปดูแลรักษาในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์โดยมีหลักประกัน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ริบรถยนต์ของกลางคดีถึงที่สุดแล้ว ผู้ร้องไม่มีสิทธิยื่นคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 85/1 ได้ ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้เป็นคดีที่เกี่ยวเนื่องกับคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดจึงอยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 ด้วย ซึ่งมาตรา 18 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว บัญญัติว่า “ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งโดยมิชักช้า และภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 16 และมาตรา 19 คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์เฉพาะการกระทำซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้เป็นที่สุด” และมาตรา 19 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ในกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามมาตรา 18 วรรคหนึ่ง แล้ว คู่ความอาจยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องไปพร้อมกับฎีกาต่อศาลฎีกาภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลนั้นให้คู่ความฝ่ายที่ขออนุญาตฎีกาฟัง เพื่อขอให้พิจารณารับฎีกาไว้วินิจฉัยก็ได้” ดังนี้ เมื่อผู้ร้องฎีกาโดยไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรา 19 วรรคหนึ่ง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงเป็นที่สุดตามมาตรา 18 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาผู้ร้องจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาผู้ร้อง