คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1146/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระหนี้จำนวนหนึ่งอันเกิดจากมูลละเมิด ศาลชั้นต้นพิพากษาแบ่งให้จำเลยที่ 1 ที่ 2ชำระครึ่งหนึ่ง และจำเลยที่ 3 ที่ 4 ชำระอีกครึ่งหนึ่ง จึงไม่มีเหตุที่จะให้โจทก์ต้องอุทธรณ์ในเรื่องค่าเสียหายขึ้นมาอีก ดังนี้แม้โจทก์จะมิได้อุทธรณ์ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระหนี้เต็มจำนวน ก็ถือได้ว่าปัญหาเรื่องค่าเสียหายเต็มจำนวนได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในชั้นศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยคนใดคนหนึ่งเท่านั้นที่ทำละเมิดต่อโจทก์ ก็ต้องให้ผู้นั้นรับผิดเต็มจำนวน จะแบ่งให้รับผิดเพียงบางส่วนหาชอบไม่ ฉะนั้นการที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยที่ 3 ที่ 4 เท่านั้นที่จะต้องรับผิด และพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เพียงเฉพาะส่วนที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้รับผิด โจทก์ฎีกาศาลฎีกาฟังว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 เท่านั้นที่จะต้องรับผิดศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 รับผิดต่อโจทก์เต็มตามมูลหนี้แห่งการละเมิดได้.(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 5/2531)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์โดยสาร จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกหกล้อและเป็นนายจ้างของนายพยุงผู้ขับรถคันนี้ จำเลยที่ 2 รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์ของจำเลยที่ 1จำเลยที่ 3 เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกสิบล้อและเป็นนายจ้างของนายเกรียงศักดิ์ผู้ขับรถยนต์คันดังกล่าว จำเลยที่ 4 รับประกันภัยค้ำจุนรถของจำเลยที่ 3 นายพยุงและนายเกรียงศักดิ์ต่างขับรถตามหลังรถโจทก์โดยประมาทเลินเล่อ ชนรถโจทก์เสียหายรวมเป็นเงิน 223,900 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันและแทนกันชำระค่าเสียหายดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การว่า นายพยุงมิได้ขับรถโดยประมาท
จำเลยที่ 3 ที่ 4 ให้การว่า นายเกรียงศักดิ์มิได้ขับรถโดยประมาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าเสียหาย110,950 บาท ให้จำเลยที่ 3 ใช้ค่าเสียหาย 110,950 บาท โดยให้จำเลยที่ 4 ร่วมรับผิดในวงเงินไม่เกิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ จำเลยที่ 3 และที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า นายพยุงขับรถชนท้ายรถโจทก์โดยประมาท จำเลยที่ 1 ในฐานะนายจ้างและจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับประกันภัยต้องรับผิดต่อโจทก์ ส่วนนายเกรียงศักดิ์คนขับรถของจำเลยที่ 3 ไม่มีส่วนละเมิดไปถึงรถโจทก์ด้วย จำเลยที่ 3และที่ 4 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์และวินิจฉัยข้อกฎหมายว่าประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปคือเรื่องค่าเสียหาย ซึ่งศาลชั้นต้นฟังว่า รถโจทก์เสียหายจากมูลละเมิด แต่นายพยุงคนขับรถของจำเลยที่ 1 และนายเกรียงศักดิ์คนขับรถของจำเลยที่3 มีส่วนประมาทเท่าเทียมกัน พิพากษาแยกความรับผิดโดยให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฝ่ายหนึ่ง กับจำเลยที่ 3 ที่ 4 อีกฝ่ายหนึ่ง ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ฝ่ายละ 110,950 บาท ศาลอุทธรณ์เห็นว่าศาลชั้นต้นพิพากษาแยกความรับผิดของจำเลยทั้งสี่ออกเป็นสองฝ่ายดังกล่าว แต่โจทก์มิได้อุทธรณ์ในเรื่องค่าเสียหายขึ้นมาเมื่อศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 เท่านั้นที่จะต้องรับผิดจึงพิพากษาให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เพียงเฉพาะส่วนที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้รับผิดคือ 110,950 บาทศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสี่รับผิดในหนี้จากมูลละเมิดเป็นจำนวนเดียวและครั้งเดียวกัน ซึ่งเป็นหนี้อันแบ่งแยกมิได้ ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ก็ขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันและแทนกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ และศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้จำเลยทั้งสี่รับผิดก็เป็นหนี้จำนวนเดียว แต่ที่พิพากษาแบ่งให้จำเลยชำระเป็นสองฝ่ายก็เพียงเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในชั้นบังคับคดีเท่านั้น สิทธิของโจทก์ในเรื่องนี้ก็คือได้รับชดใช้ค่าเสียหายเต็มจำนวนจากผู้ทำละเมิด เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ชดใช้ค่าเสียหายจากมูลละเมิดในคราวเดียวกันเป็นที่พอใจแล้ว ก็ไม่มีเหตุที่จะให้โจทก์ต้องอุทธรณ์ในเรื่องค่าเสียหายขึ้นมาอีก กรณีเช่นนี้ถือว่า ปัญหาเรื่องค่าเสียหายเต็มจำนวนได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในชั้นศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยคนใดคนหนึ่งเท่านั้นที่ทำละเมิดต่อโจทก์ ก็ต้องให้ผู้นั้นรับผิดเต็มจำนวนจากมูลละเมิด จะแบ่งให้รับผิดเพียงบางส่วนหาชอบไม่ ศาลฎีกามีอำนาจให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์เต็มตามมูลหนี้แห่งการละเมิดที่เกิดขึ้นได้และกำหนดให้โจทก์ได้รับค่าเสียหายเป็นเงิน 193,900 บาท
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าเสียหาย193,900 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์.

Share