คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1048/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามคำฟ้องโจทก์กล่าวอ้างแต่เพียงว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นบุตร นอกกฎหมายของ ม. และก่อนถึงแก่กรรม ม. บิดาโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท มิได้กล่าวอ้างว่าโจทก์ทั้งสี่มีสิทธิรับมรดกที่ดินพิพาทแปลงนี้ในฐานะอะไร เพราะบุตรนอกกฎหมายที่มีสิทธิรับมรดกของบิดาได้จะต้องเป็นบุตรที่บิดาได้รับรองแล้วดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1627แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และตามพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบ ก็ไม่ปรากฏว่าพฤติการณ์อันใดที่แสดงว่าโจทก์ทั้งสี่เป็นบุตร นอกกฎหมาย ที่บิดารับรองแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทจึงไม่มีอำนาจฟ้องเกี่ยวกับ ที่ดินแปลงนี้ และเรื่องอำนาจฟ้องนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความจะมิได้ยกขึ้นกล่าวอ้าง หากแต่ศาลพิจารณาเห็นสมควรย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยชี้ขาดคดีได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสี่ฟ้องว่า เป็นบุตรนอกกฎหมายของนายมา ก่อนตายนายมาเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท ได้ให้จำเลยทั้งสองอาศัยและทำนาทั้งปลูกกระเทียมและถั่ว โดยจำเลยให้ข้าวและเงินเป็นค่าตอบแทน หลังจากนายมาตาย จำเลยก็ยังอาศัยทำนาและทำสวนตามเดิม แต่ไม่ยอมให้ข้าวและค่าตอบแทนแก่โจทก์ ขอให้ขับไล่และให้ใช้ค่าตอบแทน 7 ปี ก่อนฟ้อง

จำเลยทั้งสองให้การว่าเดิมที่พิพาทเป็นของนายมา นางชุ่ม และจำเลยที่ 1 ร่วมกัน ให้นายมาลงชื่อในโฉนดแทน ได้แบ่งแยกกันครอบครองตลอดมา ยังไม่ได้แบ่งแยกโฉนดนายมาก็ตายเสียก่อน เมื่อนายมาตาย โจทก์ได้ขายส่วนของนายมาไปแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่พิพาท ไม่มีอำนาจฟ้อง และฟ้องขาดอายุความ

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่พิพาท พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ตามคำฟ้องและข้อนำสืบของโจทก์ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งสี่เป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว โจทก์ทั้งสี่จึงไม่มีสิทธิรับมรดกของนายมา ที่พิพาทจึงไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสี่ โจทก์ทั้งสี่ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายืนในผล

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่นั้น เห็นว่าคดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องพอสรุปความได้ว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นบุตรนายมาและนางคำมูลบิดามารดาของโจทก์มิได้จดทะเบียนสมรสกัน บิดาโจทก์ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2512 โจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นผู้เยาว์ได้อยู่กับนางคำมูลมารดาผู้แทนโดยชอบธรรม ก่อนนายมาบิดาโจทก์ถึงแก่กรรม นายมาเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 2022 จำเลยทั้งสองอาศัยปลูกเรือนอยู่ในที่ดินแปลงนี้ และจำเลยที่ 1 ได้ทำนาทำสวนในที่ดินด้วย หลังจากนายมาบิดาโจทก์ถึงแก่กรรมแล้ว จำเลยที่ 1 ยังคงทำนาทำสวนในที่ดินต่อมา แต่จำเลยที่ 1 ไม่แบ่งข้าวเปลือกและให้ค่าตอบแทนแก่โจทก์และโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ทั้งสี่จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนเรือนออกไปจากที่ดินของโจทก์และให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบข้าวเปลือกหรือใช้ราคาและชำระค่าตอบแทน ตามคำฟ้องโจทก์กล่าวอ้างแต่เพียงว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นบุตรนอกกฎหมายของนายมา และก่อนถึงแก่กรรมนายมาบิดาโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโฉนดที่ 2022 เท่านั้น มิได้กล่าวอ้างว่าโจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นบุตรนอกกฎหมายของนายมามีสิทธิรับมรดกที่ดินพิพาทแปลงนี้ในฐานะอะไร เพราะการเป็นบุตรนอกกฎหมายหามีสิทธิรับมรดกของบิดาผู้ตายไม่ บุตรนอกกฎหมายที่มีสิทธิรับมรดกของบิดาผู้ตายได้จะต้องเป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดาได้รับรองแล้วดังที่บัญญัติไว้มาตรา 1627 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และตามพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบก็ไม่ปรากฏมีพฤติการณ์อันใดที่แสดงว่าโจทก์ทั้งสี่เป็นบุตรนอกกฎหมายที่นายมาบิดาได้รับรองแล้ว ดังนี้ แม้จะฟังตามที่โจทก์อ้างว่านายมาบิดาเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโจทก์ทั้งสี่เป็นบุตรนอกกฎหมายซึ่งนายมาบิดาไม่ได้รับรองก็ไม่มีสิทธิรับมรดกของนายมาตามบทบัญญัติมาตรา 1627 ดังกล่าว โจทก์ไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทโฉนดที่ 2022 จึงไม่มีอำนาจฟ้องเกี่ยวกับที่ดินแปลงนี้ และเรื่องอำนาจฟ้องนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความจะมิได้ยกขึ้นกล่าวอ้าง หากแต่ศาลพิจารณาเห็นสมควรย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยชี้ขาดคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) คำพิพากษาฎีกาที่ 88/2516 ที่โจทก์ยกขึ้นอ้างนั้นข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ เมื่อฟังว่าโจทก์ทั้งสี่ไม่มีอำนาจฟ้องแล้ว ฎีกาข้ออื่นของโจทก์ไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงจึงไม่จำต้องวินิจฉัย

พิพากษายืน

Share