คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1048/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องความผิดฐานฉ้อโกงนั้นโจทก์จะต้องบรรยายฟ้องให้สามารถเข้าใจได้ว่าจำเลยกล่าวเท็จในข้อใดบ้างและความ จริงเป็นอย่างไร มิฉะนั้นเป็นฟ้องที่ไมชอบด้วย ป.ม.วิ.อาญามาตรา 158(5)

ย่อยาว

โจทก์บรรยายว่า “จำเลยนี้ได้บังอาจใช้อุบายหลอกหลวงโดยเอาความซึ่งรู้อยู่แล้วว่าเป็นเท็จมาบอกกล่าวแก่นายปั๋น กันทอนว่า จำเลยเป็นเสมียนโรงต้มกลั่นสุราอำเภอเมืองเชียงราย มีหน้าที่มาตรวจร้านค้าสุราและเก็บเงินค่าจำหน่ายสุราจากร้านค้าของโรงต้มกลั่นสุราอำเภอเมืองเชียงรายด้วย การมาครั้งนี้ก็เพื่อเก็บเงินค่าขายสุราที่นายปั๋น กันทอน รับไปจำหน่ายนั้นเอง ทั้งนี้โดยจำเลยมีเจตนาทุจจริตคิดหลอกลวงให้นายปั๋น กันทอน ส่งเงินค่าจำหน่ายสุราให้แก่จำเลยไป นายปั๋น กันทอนหลงเชื่อว่าเป็นความจริง จึงได้มอบเงิน ๗ บาท ๕๐ สตางค์ ให้แก่จำเลยไป” ขอให้ลงโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๓๐๔
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมและขาดสาระสำคัญ ไม่เป็นฟ้องในความผิดฐานฉ้อโกงจึงมีคำสั่งไม่รับประทับฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาได้พิจารณาโดยที่ประชุมใหญ่และเห็นว่าคำฟ้องของโจทก์นี้กล่าวเคลือบคลุมความ ไม่อาจให้เข้าใจได้แจ้งชัดว่าจำเลยได้กล่าวหลอกลวงนายปั๋นในข้อใดคำใดแน่และไม่สามารถเข้าใจได้ว่า โจทก์หาว่าจำเลยกล่าวเท็จในข้อใดบ้าง และความจริงเป็นอย่างไร คำฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๕๘(๕)
จึงพิพากษายืน

Share