คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10453/2551

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์กับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันทำสัญญากิจการร่วมค้าและอนุญาตให้ใช้สิทธิ โดยร่วมกันจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ช. เป็นต่างหาก เมื่อโจทก์มิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยทั้งสี่จึงไม่อาจบอกเลิกสัญญาแต่ฝ่ายเดียวได้ แม้การเลิกบริษัท ช. จะได้ดำเนินไปโดยชอบด้วยกฎหมาย การบอกเลิกสัญญากิจการร่วมค้าและอนุญาตให้ใช้สิทธิตามสัญญาก็ไม่ชอบ

ย่อยาว

คดีนี้ทั้งสองสำนวนนี้ศาลสั่งรวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน โดยให้เรียกจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 สำนวนแรกว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ตามลำดับ และเรียกจำเลยสำนวนหลังว่าจำเลยที่ 4
โจทก์ฟ้องทั้งสองสำนวนโดย สำนวนแรกโจทก์ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันและ/หรือแทนกันชำระเงินให้โจทก์ 10,266,786.54 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 จะชำระเงินให้โจทก์เสร็จสิ้น ส่วนสำนวนหลังโจทก์ขอให้บังคับจำเลยที่ 4 ชำระเงินให้โจทก์ 3,422,262.18 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 4 จะชำระเงินให้โจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันชำระเงิน 6,900,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 6,900,000 บาท นับแต่วันที่ 13 เมษายน 2544 (วันถัดจากวันฟ้อง) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ 4 ชำระเงิน 2,300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,300,000 บาท นับแต่วันที่ 13 กันยายน 2544 (วันถัดจากวันฟ้อง) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 150,000 บาท
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ว่า จำเลยทั้งสี่บอกเลิกสัญญากิจการร่วมค้าและอนุญาตให้ใช้สิทธิต่อโจทก์เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ข้อนี้จำเลยทั้งสี่กล่าวอ้างและอุทธรณ์ว่าสัญญากิจการร่วมค้าและอนุญาตให้ใช้สิทธิเป็นสัญญาต่างตอบแทนที่โจทก์จะต้องปฏิบัติการชำระตอบแทนให้แก่จำเลยทั้งสี่ตามสัญญาข้อ 8 ด้วย กล่าวคือ โจทก์จะต้องให้ความสนับสนุนและช่วยเหลือจำเลยทั้งสี่ผู้ร่วมลงทุน แต่โจทก์มิได้กระทำ โดยโจทก์ไม่ให้ความช่วยเหลือในการเขียนหลักสูตรของการเรียนการสอนเพื่อขออนุญาตเปิดโรงเรียนสอนภาษาจากกระทรวงศึกษาธิการ ไม่ได้ใส่ใจให้ความช่วยเหลือหรือให้คำแนะนำหรือคำปรึกษาใด ๆ ในการจัดเตรียมสถานที่ของโรงเรียนไม่ได้มอบรูปแบบหรือผังแปลนหรือวิธีการตกแต่งภายในของโรงเรียนให้เป็นแบบอย่างในการจัดสถานที่ของโรงเรียน ไม่เคยจัดให้มีการโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ใด ๆ หรือจัดให้มีสิ่งพิมพ์ทั้งในและนอกประเทศว่ามีการเปิดโรงเรียนสอนภาษาเชนสาขาประเทศไทย ส่งบุคลากรที่ส่วนใหญ่ไม่มีประสิทธิภาพมาให้ เปลี่ยนแปลงบุคลากรบ่อยทำให้การทำงานกับจำเลยทั้งสี่ไม่ต่อเนื่อง เปลี่ยนนโยบายและบุคลากรตลอดเวลา เลิกจ้างบุคลากรที่ส่งมาทำหน้าที่สำคัญในประเทศไทย ทำให้กระทบกระเทือนต่อการดำเนินงานของบริษัทเชน แฟรนไชส์ จำกัด ไม่คัดเลือกและฝึกอบรมบุคลากรครูและผู้สอนภาษา ส่งครูที่ไม่ผ่านการอบรมไม่ได้เรียนจบปริญญาตรีด้านการสอน ไม่มีประสบการณ์การสอน รวมทั้งมิได้ดำเนินการตามสัญญาหลายประการนั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ได้จัดหลักสูตรการศึกษาและนำระบบวิธีการเรียนการสอนภาษาอังกฤษของโจทก์มาไว้ในประเทศไทยได้ดำเนินการรับสมัครครูผู้สอนจากประเทศอังกฤษ จัดส่งครูผู้สอนจากโรงเรียนสอนภาษาเชนในประเทศญี่ปุ่นและในประเทศอื่น ๆ ให้มาสอนในประเทศไทย ให้นายเกรแฮมซึ่งเป็นผู้อำนวยการพัฒนาเอเชียนและนายทิมผู้อำนวยการฝ่ายสิทธิแฟรนไชส์มาวางแผนและจัดตั้งระบบการบริหารจัดการให้แก่กิจการร่วมค้าของโจทก์กับจำเลยทั้งสี่ ทั้งโจทก์ได้ช่วยเหลือด้านการประชาสัมพันธ์และโฆษณาตลอดจนส่งเสริมการขายและการตลาด จนสามารถเปิดโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษเชนในกรุงเทพมหานครหลายแห่ง รวมทั้งในต่างจังหวัดที่เปิดโรงเรียนภายใต้สิทธิแฟรนไชส์ นอกจากนี้ยังได้ความว่านายเชนได้เดินทางมาดูแลกิจการที่ทำร่วมกับจำเลยทั้งสี่เฉลี่ยปีละ 2 ถึง 3 ครั้ง ส่วนจำเลยทั้งสี่เพียงแต่กล่าวอ้างว่าโจทก์มิได้ปฏิบัติการชำระหนี้ตามสัญญา แต่ข้อเท็จจริงกลับปรากฏว่าการดำเนินกิจการโรงเรียนสอนภาษาเชนได้มีการขยายสาขาเพิ่มขึ้น และมีนักศึกษาโดยเฉลี่ยปีละ 3,000 ถึง 4,000 คน แสดงว่ากิจการร่วมค้าได้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ ได้รับความสนใจจากนักศึกษาโดยทั่วไปมากพอสมควร รวมทั้งจำเลยทั้งสี่ก็ยอมรับว่าโจทก์ได้ส่งอาจารย์ ครูมาสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนที่จัดตั้งขึ้น ทั้งเป็นครูอาจารย์ที่มีคุณภาพ เพียงแต่จำเลยทั้งสี่อ้างว่าภายหลังโจทก์เลิกจ้างบุคลากรที่มีคุณภาพดังกล่าวเท่านั้น พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้ยิ่งกว่าพยานหลักฐานจำเลยทั้งสี่ว่า โจทก์มิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยทั้งสี่จึงไม่อาจบอกเลิกสัญญาแต่ฝ่ายเดียวได้ ทั้งกรณีมิได้เป็นการตกลงเลิกสัญญาด้วยกันตามสัญญา ข้อ 18 ดังที่จำเลยทั้งสี่กล่าวอ้าง แม้การเลิกบริษัทเชน แฟรนไชส์ จำกัด จะได้ดำเนินไปโดยชอบด้วยกฎหมายก็ตาม การบอกเลิกสัญญากิจการร่วมค้าและอนุญาตให้ใช้สิทธิก็ไม่ชอบ ทั้งการที่จำเลยทั้งสี่กล่าวอ้างว่าโจทก์ไม่ปฏิบัติตามสัญญาก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสี่ได้บอกกล่าวให้โจทก์ทราบ และปฏิบัติตามสัญญาเสียก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 อีกด้วย อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ในประเด็นนี้จึงฟังไม่ขึ้น…
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันชำระเงิน 3,627,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 13 เมษายน 2544 จนกว่าจะชำระเสร็จ แก่โจทก์ และให้จำเลยที่ 4 ชำระเงิน 1,209,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 13 กันยายน 2544 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสี่ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ คิดค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ตามสัดส่วนที่โจทก์ชนะคดีจำเลยแต่ละคน โดยกำหนดค่าทนายความรวม 120,000 บาท.

Share