แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ลงลายมือชื่อร่วมกันในช่องผู้มอบอำนาจโดยไม่ได้ประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามที่มีการจดทะเบียนต่อสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครเกี่ยวกับเรื่องจำนวนหรือชื่อกรรมการซึ่งลงลายมือชื่อผูกพันบริษัทเป็นเพียงการไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับที่ระบุไว้ในหนังสือรับรองดังกล่าวเท่านั้น และจะมีผลต่อรูปคดีหรือไม่เพียงใดเป็นเรื่องที่ศาลในคดีดังกล่าวจะพิจารณาวินิจฉัย หนังสือมอบอำนาจดังกล่าวจึงไม่ใช่พยานหลักฐานอันเป็นเท็จเพราะเหตุจำเลยที่ 2 และที่ 3 ลงลายมือชื่อโดยไม่มีอำนาจและไม่ได้ประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 การส่งหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานต่อศาลจึงไม่เป็นความผิดฐานร่วมกันนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งแปดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 180 วรรคแรก
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งแปดให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 จำเลยที่ 1 ให้ปรับ 4,000 บาท จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ให้จำคุกคนละ 1 ปี และปรับคนละ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในชั้นนี้ว่า เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2544 ซึ่งเป็นวันนัดสืบพยานโจทก์ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 2686/2543 ของศาลจังหวัดนครราชสีมา อันเป็นคดีที่จำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์ในฐานะทายาทโดยชอบด้วยกฎหมายของนายอ่าง ให้ชำระหนี้กู้ยืมและบังคับจำนองที่ดินของนายอ่าง ตามสำเนาคำฟ้องและสำนาคำร้องขอแก้ไขคำฟ้อง โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีดังกล่าวขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยที่ 4 ได้เบิกความเป็นพยานของจำเลยที่ 1 โดยมีจำเลยที่ 5 ทำหน้าที่เป็นทนายความของจำเลยที่ 1 ในวันนั้นและมีการส่งหนังสือมอบอำนาจลงวันที่ 17 มีนาคม 2536 เป็นพยานหลักฐานซึ่งมีใจความว่า จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 กรรมการผู้มีอำนาจ มอบอำนาจให้จำเลยที่ 6 เป็นผู้กระทำการแทนจำเลยที่ 1 ในการทำสัญญาจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 4273 ตำบลตะคุ อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา ไว้เป็นประกันการกู้ยืม โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 ลงลายมือชื่อเป็นผู้มอบอำนาจแต่ไม่ได้ประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 ตามสำเนาหนังสือมอบอำนาจและสำเนาคำเบิกความ ในวันที่ลงในหนังสือมอบอำนาจดังกล่าว จำเลยที่ 2 หรือที่ 3 หรือกรรมการอีก 2 คน คนใดคนหนึ่งต้องลงลายมือชื่อร่วมกับกรรมการชุดอื่นอีก 1 คน รวมเป็น 2 คน และประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 จึงมีผลผูกพันจำเลยที่1 ตามหนังสือรับรอง ศาลจังหวัดนครราชสีมาพิพากษาให้โจทก์ชำระเงินแก่จำเลยที่ 1 พร้อมดอกเบี้ย มิฉะนั้นให้บังคับจำนองที่ดินดังกล่าวตามสำเนาคำพิพากษา มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 และของจำเลยที่ 5 ว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 กระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 หรือไม่ เห็นว่า ตามสำเนาคำฟ้องและสำเนาคำร้องขอแก้ไขคำฟ้อง ซึ่งจำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์ในฐานะทายาทโดยชอบด้วยกฎหมายของนายอ่างเป็นคดีหมายเลขดำที่ 2686/2543 ของศาลจังหวัดนครราชสีมา จำเลยที่ 1 บรรยายฟ้องเกี่ยวกับการรับจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 4273 ของนายอ่างไว้ชัดเจนว่า จำเลยที่ 6 เป็นผู้รับมอบอำนาจในการทำนิติกรรมจำนองแทนจำเลยที่ 1 และหนังสือมอบอำนาจตามสำเนา ที่มีการส่งเป็นพยานหลักฐานต่อศาลในคดีดังกล่าวก็ระบุเป็นใจความว่า จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 กรรมการผู้มีอำนาจ มอบอำนาจให้จำเลยที่ 6 เป็นผู้กระทำการแทนจำเลยที่ 1 ในการรับจำนองที่ดินแปลงเดียวกันนั้น อันเป็นการสอดคล้องกับเนื้อหาที่บรรยายไว้ในคำฟ้องและคำร้องขอแก้ไขคำฟ้อง แม้จะปรากฏว่าตามวันที่ลงในหนังสือมอบอำนาจ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ลงลายมือชื่อร่วมกันในช่องผู้มอบอำนาจโดยไม่ได้ประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามที่มีการจดทะเบียนต่อสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครเกี่ยวกับเรื่องจำนวนหรือชื่อกรรมการซึ่งลงลายมือชื่อผูกพันบริษัทที่ว่า จำเลยที่ 2 หรือที่ 3 หรือกรรมการอื่นอีก 2 คน คนใดคนหนึ่งต้องลงลายมือชื่อร่วมกับกรรมการชุดอื่นอีก 1 คน รวมเป็น 2 คน และประทับตราสำคัญของบริษัทตามหนังสือรับรองก็ตาม แต่การกระทำดังกล่าวเป็นเพียงการไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับที่ระบุไว้ในหนังสือรับรองเท่านั้น และจะมีผลต่อรูปคดีหรือไม่เพียงใดเป็นเรื่องที่ศาลในคดีดังกล่าวจะพิจารณาวินิจฉัย หนังสือมอบอำนาจจึงไม่ใช่พยานหลักฐานอันเป็นเท็จเพราะเหตุจำเลยที่ 2 และที่ 3 ลงลายมือชื่อโดยไม่มีอำนาจและไม่ได้ประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 ดังที่โจทก์อ้าง การส่งหนังสือมอบอำนาจ เป็นพยานหลักฐานต่อศาลจึงไม่เป็นความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 และของจำเลยที่ 5 ฟังขึ้น ฎีกาของโจทก์ที่ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 และที่ 3 หนักขึ้นโดยไม่รอการลงโทษจึงไม่จำต้องวินิจฉัย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 และให้ยกฎีกาของโจทก์