แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องมาด้วยว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามสัญญาการใช้บัตรเครดิตที่จำเลยได้สมัครเป็นสมาชิกขอใช้บัตรเครดิตและได้รับอนุญาตให้ใช้บัตรเครดิตจากโจทก์แล้วและระหว่างโจทก์จำเลยมีข้อตกลงเกี่ยวกับการใช้บัตรเครดิต การชำระหนี้ระยะเวลาชำระหนี้ ตลอดจนการคำนวณหนี้และดอกเบี้ยกันอย่างไร จำเลยเป็นหนี้ตามสัญญาการใช้บัตรเครดิตกับโจทก์ด้วยวิธีการใดและเป็นหนี้จำนวนเท่าใด ซึ่งเห็นได้ชัดว่าหนี้ตามสัญญาการใช้บัตรเครดิตย่อมต้องมีข้อตกลงต่างหากจากสัญญาบัญชีเดินสะพัดที่โจทก์ฟ้อง ดังนี้ เท่ากับโจทก์ไม่ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาว่าจำเลยเป็นหนี้ตามสัญญาการใช้บัตรเครดิตต่อโจทก์และคำขอบังคับมาในคำฟ้อง จึงต้องพิพากษายกฟ้อง แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ฟ้องใหม่ภายในอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2530 จำเลยได้ขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับโจทก์ สาขาสี่แยกบางนา บัญชีเลขที่ 056-1-xxxxx เพื่อใช้เป็นบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์กับจำเลย และยินยอมปฏิบัติตามระเบียบวิธีปฏิบัติของโจทก์ การสั่งจ่ายหรือเบิกถอนเงินในบัญชีกระแสรายวันจำเลยตกลงใช้เช็คของโจทก์สาขาสี่แยกบางนาหรือเอกสารอื่นใดที่โจทก์ยินยอมด้วยเป็นหลักฐานแห่งการเบิกถอนและหรือหักทอนเงินในบัญชีเดินสะพัดต่อกัน หากเงินในบัญชีของจำเลยมีไม่พอจ่ายตามเช็คและเอกสารอื่นและโจทก์ผ่านผันจ่ายให้ไปก่อน จำเลยตกลงจะชดใช้เงินในส่วนที่โจทก์จ่ายเกินบัญชีไปแล้วคืนให้โจทก์ โดยถือเสมือนว่าจำเลยได้ร้องขอเบิกเงินเกินบัญชีไว้กับโจทก์ โดยยอมให้คิดดอกเบี้ยทบต้นได้ตามประเพณีทางการค้าของธนาคารพาณิชย์ โจทก์จะคิดคำนวณดอกเบี้ยหักทอนบัญชีทุกวันสุดท้ายของเดือน ต่อมาจำเลยได้ใช้เช็คและหลักฐานอื่นที่โจทก์ยินยอมด้วยเป็นหลักฐานในการเบิกถอนเงินไปจากบัญชีกระแสรายวันดังกล่าวหลายครั้งและนำเงินเข้าหักทอนบัญชีกันเรื่อยมา แต่จำเลยไม่ได้ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยตามเงื่อนไขที่ตกลงกัน เมื่อหักทอนบัญชีเดินสะพัดครั้งสุดท้ายวันที่ 30 สิงหาคม 2534 จำเลยเป็นหนี้ต้นเงิน 480,170.42 บาท ดอกเบี้ย 9,827.31 บาท และโจทก์คิดดอกเบี้ยไม่ทบต้นในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 480,170.42 บาท นับแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2534 จนถึงวันที่ 20 เมษายน 2535 และค่าธรรมเนียม 500 บาท รวมเป็นต้นเงิน 480,670.42 บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จนถึงวันฟ้องเป็นดอกเบี้ย 355,194.61 บาท รวมเป็นเงิน 835,865.03 บาท โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้จำนวน 835,865.03 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 480,670.42 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ฟ้องใหม่ภายในอายุความค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า โจทก์จะนำยอดหนี้การใช้บัตรเครดิตมาหักทอนบัญชีในบัญชีกระแสรายวันตามฟ้องได้หรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่าหนี้การใช้บัตรเครดิตถือเป็นหลักฐานอื่นใดที่โจทก์และจำเลยตกลงยินยอมนำมาคิดคำนวณในบัญชีกระแสรายวันได้ ปรากฏว่าคดีนี้โจทก์ตั้งรูปคดีมาในคำฟ้องว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามบัญชีกระแสรายวันที่จำเลยขอเปิดบัญชีกับโจทก์เพื่อใช้เป็นบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์กับจำเลย การสั่งจ่ายหรือเบิกถอนเงินจากบัญชีตกลงใช้เช็คของโจทก์หรือเอกสารอื่นใดที่โจทก์ยินยอม มีการหักทอนบัญชีทุกวันสุดท้ายของเดือน และตกลงให้คิดดอกเบี้ยทบต้นได้ตามประเพณีการค้าของธนาคารพาณิชย์อันเป็นการฟ้องเรียกหนี้ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดซึ่งเป็นสัญญาซึ่งบุคคล 2 คน ตกลงกันว่าสืบแต่นั้นไปหรือในชั่วเวลากำหนดอันใดอันหนึ่ง ให้ตัดทอนบัญชีหนี้หรือหักกลบลบหนี้กันทั้งหมดหรือบางส่วนอันเกิดขึ้นแต่กิจการในระหว่างบุคคลทั้งสองนั้นตามบัญชีหนี้ที่ได้จัดทำขึ้น ตามมาตรา 856 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่โจทก์หาได้บรรยายฟ้องมาด้วยว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามสัญญาการใช้บัตรเครดิตที่จำเลยได้สมัครเป็นสมาชิกขอใช้บัตรเครดิตและได้รับอนุญาตให้ใช้บัตรเครดิตจากโจทก์แล้ว และระหว่างโจทก์จำเลยมีข้อตกลงเกี่ยวกับการใช้บัตรเครดิตการชำระหนี้ ระยะเวลาชำระหนี้ ตลอดจนการคำนวณหนี้และดอกเบี้ยกันอย่างไร จำเลยเป็นหนี้ตามสัญญาการใช้บัตรเครดิตกับโจทก์ด้วยวิธีการใด เป็นหนี้จำนวนเท่าใด ซึ่งเห็นได้ชัดว่า หนี้ตามสัญญาการใช้บัตรเครดิตย่อมต้องมีข้อตกลงต่างหากจากสัญญาบัญชีเดินสะพัดที่โจทก์ฟ้อง ดังนี้เท่ากับโจทก์ไม่ได้แสดงโดยแจ้งชัด ซึ่งสภาพแห่งข้อหาว่าจำเลยเป็นหนี้ตามสัญญาการใช้บัตรเครดิตต่อโจทก์และคำขอบังคับมาในคำฟ้อง จึงเป็นการนำสืบนอกประเด็นที่กล่าวมาในคำฟ้อง ดังนั้น โจทก์จะนำหนี้การใช้บัตรเครดิตมาหักทอนบัญชีในบัญชีกระแสรายวันอย่างบัญชีเดินสะพัดตามที่กล่าวมาในคำฟ้องหาได้ไม่ ทั้งเนื่องจากตามบัญชีกระแสรายวันพร้อมคำแปลและรายการคำนวณดอกเบี้ย โจทก์ได้นำหนี้การใช้บัตรเครดิตมาคำนวณระคนปนกับหนี้การใช้เช็คของโจทก์เบิกถอนเงินจากบัญชีกระแสรายวัน และคิดดอกเบี้ยการใช้บัตรเครดิตแบบทบต้น ทำให้ไม่อาจทราบจำนวนหนี้ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดมีเท่าใด ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ฟ้องใหม่ภายในอายุความนั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ