คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1042/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่กรมสรรพากรผู้คัดค้านรู้ถึงภาวะหนี้สินล้นพ้นตัวของบริษัทลูกหนี้แล้วได้ยอมรับชำระหนี้ค่าภาษีและอากรแสตมป์ของบริษัทลูกหนี้โดยการผ่อนชำระ จึงเป็นการรับชำระหนี้โดยไม่สุจริต เมื่อการชำระหนี้ดังกล่าวเป็นการกระทำเกี่ยวกับทรัพย์สินของบริษัทลูกหนี้ในระหว่างระยะเวลาสามปีก่อนมีการ ขอให้ล้มละลายศาลมีอำนาจที่จะสั่งเพิกถอนการกระทำนั้นได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 114 แม้การตกลงชำระหนี้ระหว่างบริษัทลูกหนี้กับผู้คัดค้านดังกล่าว เป็นการกระทำตามหน้าที่ที่กำหนดไว้ตามกฎหมายก็ตาม ก็หาใช่เป็นข้อจำกัดอำนาจศาลที่จะสั่งเพิกถอนการชำระหนี้ดังกล่าวไม่
เมื่อศาลสั่งเพิกถอนการชำระหนี้ระหว่างบริษัทลูกหนี้กับผู้คัดค้าน ก็เท่ากับว่าเป็นการชำระหนี้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ ผู้คัดค้านจึงต้องคืนเงินที่ได้รับไว้แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพื่อรวบรวมเข้ากองทรัพย์สินของลูกหนี้ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยลักษณะลาภมิควรได้ ศาลย่อมมีอำนาจสั่งให้ผู้คัดค้านคืนเงินดังกล่าวตามคำขอของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้
การที่ผู้คัดค้านต้องคืนเงินแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพราะการชำระหนี้ได้ถูกเพิกถอน ซึ่งเป็นไปโดยผลของคำพิพากษากรณียังถือไม่ได้ว่าได้มีการผิดนัดอันจะเป็นเหตุให้ผู้คัดค้านต้องรับผิดในเรื่องดอกเบี้ย เพราะตราบใดที่การชำระหนี้ระหว่างบริษัทลูกหนี้กับผู้คัดค้านยังไม่มีคำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลให้เพิกถอนก็ยังถือว่าเป็นการชำระหนี้โดยชอบอยู่ ผู้คัดค้านจึงไม่ต้องรับผิดเรื่องดอกเบี้ย.

ย่อยาว

มูลกรณีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของบริษัทลูกหนี้ไว้เด็ดขาด และพิพากษาให้บริษัทลูกหนี้ล้มละลายเมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๔ ทางสอบสวนของเจ้าหนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ความว่า บริษัทลูกหนี้ได้ผ่อนชำระหนี้ค่าภาษีและอากรแสตมป์แก่ผู้คัดค้านเป็นเงิน ๓๕,๖๖๘,๒๗๓.๔๔ บาท ซึ่งเป็นการชำระหนี้ภายในกำหนดระยะเวลา ๓ ปี และ ๓ เดือน ก่อนมีการขอให้บริษัทลูกหนี้ล้มละลาย โดยผู้คัดค้านรู้อยู่แล้วว่าบริษัทลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว เป็นการชำระหนี้และรับชำระหนี้โดยไม่สุจริต เจ้าหนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงร้องขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการชำระหนี้รายนี้ ให้ผู้คัดค้านคืนเงิน ๓๕,๖๖๘,๒๗๓.๔๔ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อไปในต้นเงินดังกล่าวให้แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของบริษัทลูกหนี้นังแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ
กรมสรรพากรผู้คัดค้านให้การว่า ผู้คัดค้านได้รับชำระโดยสุจริตและโดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการชำระหนี้ค่าภาษีและค่าอากรแสตมป์ระหว่างบริษัทลูกหนี้กับผู้คัดค้านจำนวนเงิน ๓๕,๖๖๘,๒๗๓.๔๔ บาท
ผู้ร้องและผู้คัดค้านต่างอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ผู้คัดค้านคืนเงิน ๓๕,๖๖๘,๒๗๓.๔๔ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าว ให้แก่เจ้าหนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของบริษัทลูกหนี้ นับแต่วันฟ้อง (ยื่นคำร้อง) จนกว่าจะชำระเงินเสร็จ
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยประการแรกตามฎีกาของผู้คัดค้านว่า ศาลมีอำนาจเพิกถอนการชำระหนี้ค่าภาษีและอากรแสตมป์ตามคำขอของผู้ร้องได้หรือไม่เพียงใด พิเคราะห์แล้วเห็นว่าการชำระหนี้ค่าภาษีและอากรแสตมป์ของลูกหนี้ดังกล่าวเป็นไปตามข้อตกลงผ่อนผันของผู้คัดค้าน ซึ่งผู้คัดค้านได้รู้ถึงภาวะหนี้สินล้นพ้นตัวของบริษัทลูกหนี้ จึงเป็นการรับชำระหนี้โดยไม่สุจริต บริษัทลูกหนี้ชำระหนี้ดังกล่าวแก่ผู้คัดค้านเป็นการกระทำเกี่ยวกับทรัพย์สินของบริษัทลูกหนี้ในระหว่างระยะเวลาสามปีก่อนมีการขอให้ล้มละลาย เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าการชำระหนี้นั้นได้กระทำโดยสุจริต ศาลมีอำนาจที่จะสั่งเพิกถอนการกระทำนั้นได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๑๔ แม้การตกลงชำระหนี้ระหว่างบริษัทลูกหนี้กับผู้คัดค้านดังกล่าว เป็นการกระทำตามหน้าที่ที่กำหนดไว้ตามกฎหมายก็ตาม ก็หาใช่เป็นข้อจำกัดอำนาจทางศาลที่จะสั่งเพิกถอนการชำระหนี้ดังกล่าวไม่ ฎีกาของผู้คัดค้านข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาตามฎีกาของผู้คัดค้านต่อไปที่ว่า เมื่อศาลมีคำสั่งเพิกถอนการชำระหนี้ของบริษัทลูกหนี้ดังกล่าวแล้ว จำเป็นจะต้องสั่งให้ผู้คัดค้านคืนเงินดังกล่าวแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้ร้องพร้อมด้วยดอกเบี้ยด้วยหรือไม่ พิเคราะห์แล้วศาลฎีกาเห็นว่าพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๑๔ ที่ให้อำนาจศาลสั่งเพิกถอนการโอนทรัพย์สิน หรือการกระทำใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ซึ่งลูกหนี้ได้กระทำหรือยินยอมให้กระทำในระหว่างระยะเวลาสามปีก่อนมีการขอให้ล้มละลาย และภายหลังนั้น โดยมิได้บัญญัติถึงการคืนทรัพย์สินของลูกหนี้ไว้ก็ตาม แต่เมื่อการชำระหนี้ระหว่างบริษัทลูกหนี้กับผู้คัดค้านในคดีนี้ถูกศาลสั่งเพิกถอน ก็เท่ากับว่าเป็นการชำระหนี้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ ผู้คัดค้านจึงต้องคืนเงินที่ได้รับไว้แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพื่อรวบรวมเข้ากองทรัพย์สินของลูกหนี้ ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยลักษณะลาภมิควรได้ ซึ่งกรณีเช่นนี้ศาลย่อมมีอำนาจที่จะสั่งให้ผู้คัดค้านคืนเงินดังกล่าวตามคำขอของเจ้าหนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ ส่วนความรับผิดในเรื่องดอกเบี้ยนั้น เห็นว่าการที่ผู้คัดค้านต้องคืนเงินแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพราะการชำระหนี้ได้ถูกเพิกถอนดังกล่าวนั้น เป็นไปโดยผลของคำพิพากษา กรณียังถือไม่ได้ว่าได้มีการผิดนัดอันจะเป็นเหตุให้ผู้คัดค้านต้องรับผิดในเรื่องดอกเบี้ย เพราะตราบใดที่การชำระหนี้ระหว่างบริษัทลูกหนี้กับผู้คัดค้านยังไม่มีคำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลให้เพิกถอน ก็ยังถือว่าเป็นการชำระหนี้โดยชอบอยู่ ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ผู้คัดค้านรับผิดใช้ดอกเบี้ยเพราะเหตุที่มีการผิดนัดแล้วนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาผู้คัดค้านฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกคำขอของผู้ร้องในส่วนที่ให้ผู้คัดค้านรับผิดเรื่องดอกเบี้ย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share