แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตกลงทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินมีโฉนดกัน ระบุจำนวนเนื้อที่ที่ดินตามที่ปรากฎในโฉนดลงไว้ในสัญญาด้วย ต่อมาปรากฎว่าเนื้อที่ที่ดินที่เป็นจริงมีจำนวนไม่ครบตามที่ปรากฎในโฉนดเป็นจำนวนเกินกว่าร้อยละ 5 ของที่ดินทั้งหมด ผู้จะซื้อย่อมอาจบอกปัดขอเลิกสัญญาเสียก็ได้
ป.พ.พ.ม.466 นี้ไม่ใช่ ใช้บังคับเฉพาะที่ดินไม่มีโฉนดเท่านั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินมีโฉนดพร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้าง มีเนื้อที่ ๙๗๔ ตารางวา ให้แก่โจทก์เป็นราคาแปดแสนบาท โดยระบุเนื้อที่ตามโฉนดในสัญญาด้วย โจทก์วางมัดจำไว้หกหมื่นบาท ต่อมาโจทก์ทราบว่าเนื้อที่ดินขาด แต่ตกลงเพิ่มลดราคาที่ดินที่ขาดกันไม่ได้ จึงบอกเลิกสัญญาขอคืนมัดจำและเรียกค่าเสียหายจำเลยเพิกเฉย โจทก์จึงฟ้อง
จำเลยต่อสู้ที่พิพาทถูกตัดถนนเนื้อที่ครบหรือไม่ไม่เคยตรวจสอบ ไม่เคยรับรองว่าจะส่งมอบที่ดินเต็ม ๙๗๔ ตารางวา และว่าตาม ป.พ.พ.ม. ๔๖๖ ที่โจทก์อ้างนั้นใช้บังคับสำหรับที่ดินไม่มีโฉนด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยคืนมัดจำหกหมื่นบาทแก่โจทก์ ฯลฯ
จำเลยฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าการซื้อขายที่ดินนั้น ตามธรรมดาก็เป็นที่เข้าใจกันว่าจำนวนที่ดินก็คงมีตามที่แจ้งอยู่ในหนังสือสัญญาหรือหนังสือสำคัญสำหรับที่ดิน แว้นแต่จะบอกกล่าวกันเป็นอย่างอื่น คดีนี้จำเลยนำสืบไม่ได้ว่าจำเลยได้บอกโจทก์ว่าที่ดินมีน้อยกว่าที่ปรากฎในหนังสือสัญญาหรือในโฉนด เมื่อปรากฎในภายหลังว่าที่ดินเนื้อที่ขาดไปจากจำนวนที่ปรากฎในสัญญาถึง ๗๓ตารางวาเศษเกินกว่าร้อยละ ๕ ของเนื้อที่ทั้งหมดที่ซื้อขายกันโจทก์ชอบที่จะขอลดราคาลงตามส่วน หรือบอกปัดเสียก็ได ที่จำเลยว่า ป.พ.พ.ม. ๔๖๖ ใช้สำหรับการซื้อขายที่ดินที่ยังไม่มีโฉนดนั้นหาถูกต้องไม่ จึงพิพากษายืน