คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2269/2562

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายที่ 1 อายุ 7 ปีเศษ เป็นบุตรผู้เสียหายที่ 2 พักอาศัยอยู่กับ บ. ซึ่งเป็นย่า วันเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 ออกจากบ้านไปเล่นกับเด็กหญิง ส. ที่บ้านเกิดเหตุ และขณะที่เด็กหญิง ส. ไปขี่รถจักรยานเล่นข้างนอก ปล่อยให้ผู้เสียหายที่ 1 นั่งดูโทรทัศน์อยู่ในบ้านเกิดเหตุเพียงคนเดียว จำเลยเข้ามาในบ้านเกิดเหตุปิดประตูใส่กลอนไม่ให้ผู้เสียหายที่ 1 ออกจากบ้าน แล้วกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 ถือได้ว่าจำเลยได้รบกวนสิทธิหรือแยกผู้เสียหายที่ 1 ออกไปจากอำนาจปกครองของผู้เสียหายที่ 2 และทำให้อำนาจปกครองของผู้เสียหายที่ 2 ถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือนโดยผู้เสียหายที่ 2 ไม่รู้เห็นยินยอมด้วย อันเป็นการล่วงละเมิดอำนาจปกครองของผู้เสียหายที่ 1 ไปเสียจากอำนาจปกครองของผู้เสียหายที่ 2 ผู้เป็นมารดา จำเลยจึงมีความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร และฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี โดยเด็กนั้นไม่ยินยอม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 277, 283 ทวิ, 317
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสาม, 317 วรรคสาม (เดิม) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร จำคุก 5 ปี ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยเด็กนั้นไม่ยินยอม จำคุก 9 ปี รวมจำคุก 14 ปี ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า เด็กหญิง ผ.ผู้เสียหายที่ 1 เป็นบุตรนางสาว ป. ผู้เสียหายที่ 2 ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 อายุ 7 ปีเศษ พักอาศัยอยู่กับนางสาว บ. ซึ่งเป็นย่า ส่วนจำเลยเป็นสามีใหม่นางสาว ส. ซึ่งเป็นยายผู้เสียหายที่ 1 วันที่ 9 พฤศจิกายน 2559 ผู้เสียหายที่ 2 พาผู้เสียหายที่ 1 ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่า จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 พนักงานสอบสวนส่งตัวผู้เสียหายที่ 1 ไปให้แพทย์ตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลบุรีรัมย์ แพทย์ตรวจพบอวัยวะเพศภายนอกบริเวณปากช่องคลอดแดงอักเสบมีหนองไหลออกจากช่องคลอด เยื่อพรหมจารีไม่มีแผลฉีกขาด ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่พบอสุจิและไม่พบส่วนประกอบของน้ำอสุจิ และมีความเห็นว่าผู้เสียหายที่ 1 มีช่องคลอดอักเสบติดเชื้อแบคทีเรีย สำหรับความผิดฐานพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์ไม่อุทธรณ์ จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร และฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยเด็กนั้นไม่ยินยอมตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 หรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายที่ 1 เบิกความว่า ในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 12 นาฬิกา ผู้เสียหายที่ 1 ขออนุญาตนางสาว บ. ขี่จักรยานไปเล่นกับเด็กหญิง ส. ที่บ้านเกิดเหตุซึ่งเป็นบ้านของนางสาว ส. ยายผู้เสียหายที่ 1 เมื่อไปถึงมีเด็กหญิง ส. นางสาว ส. และจำเลยอยู่ที่บ้านเกิดเหตุ สักครู่นางสาว ส. ออกไปทำสวน ส่วนเด็กหญิง ส. นำรถจักรยานของผู้เสียหายที่ 1 ไปขี่เล่นโดยไม่ได้ชวนผู้เสียหายที่ 1 ไปด้วย ผู้เสียหายที่ 1 จึงเข้าไปดูโทรทัศน์ในบ้าน จากนั้นจำเลยเดินเข้ามาในบ้านปิดประตูใส่กลอนแล้วบอกผู้เสียหายที่ 1 ให้ถอดกางเกง ผู้เสียหายที่ 1 ไม่ยอม จำเลยจึงจับแขนของผู้เสียหายที่ 1 ทั้งสองข้างกดผู้เสียหายที่ 1 ลงบนที่นอน ผู้เสียหายที่ 1 ดิ้นรนขัดขืนแต่สู้แรงของจำเลยไม่ได้ แล้วจำเลยถอดกางเกงของผู้เสียหายที่ 1 ออก ใช้ไม้ลักษณะกลมคล้ายดินสอ ยาวประมาณ 16 เซนติเมตร เขี่ยที่บริเวณอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 ประมาณ 3 ครั้ง และใช้นิ้วชี้แหย่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 ประมาณ 3 ครั้ง และจำเลยถอดกางเกงเอาอวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 แต่ไม่ลึกประมาณ 3 ครั้ง ผู้เสียหายที่ 1 รู้สึกเจ็บจึงขอให้จำเลยหยุดกระทำ จำเลยใช้มือปิดปากผู้เสียหายที่ 1 และไม่หยุดกระทำ จนกระทั่งเด็กหญิง ส. มาเคาะประตูตะโกนเรียกผู้เสียหายที่ 1 จำเลยจึงยอมปล่อยมือออกจากปากของผู้เสียหายที่ 1 และบอกผู้เสียหายที่ 1 ให้ไปใส่กางเกงและอย่านำเรื่องนี้ไปบอกใคร จากนั้นจำเลยจึงใส่กางเกงและเดินไปเปิดประตูให้เด็กหญิง ส. เข้ามาในบ้าน เด็กหญิง ส. ชวนผู้เสียหายที่ 1 ไปขี่จักรยานเล่นข้างนอกโดยผู้เสียหายที่ 1 ไม่ได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เด็กหญิง ส. ฟัง เห็นว่า ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 เป็นเด็กหญิงอายุเพียง 7 ปีเศษ เบิกความต่อศาลผ่านนักสังคมสงเคราะห์ถึงรายละเอียดเกี่ยวกับพฤติการณ์การกระทำความผิดของจำเลยที่กระทำต่อผู้เสียหายที่ 1 อย่างมีเหตุมีผลเป็นลำดับขั้นตอน แม้ผู้เสียหายที่ 1 จะเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า สภาพรอบ ๆ บ้านเกิดเหตุมีบ้านข้างเคียงอยู่หลายหลัง แต่ในข้อนี้ผู้เสียหายที่ 1 เบิกความว่า ขณะจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 จำเลยใช้มือปิดปากผู้เสียหายที่ 1 ไว้ไม่ให้ร้อง และแม้จะได้ความว่า หลังเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 ไม่ได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ใครฟังก็ตาม แต่ไม่ใช่ข้อพิรุธ เพราะผู้เสียหายที่ 1 ด้อยวุฒิภาวะและมีความหวาดกลัวจำเลย ดังที่ผู้เสียหายที่ 1 เบิกความตอบโจทก์ถามติงว่า เหตุที่ไม่เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้แก่ผู้เสียหายที่ 2 มารดาและนางสาว บ. ฟังเพราะกลัวจำเลย ทั้งได้ความจากนางสาว บ. ย่าผู้เสียหายที่ 1 ว่า หลังเกิดเหตุ พยานพบคราบโลหิตและหนองติดอยู่ที่เป้ากางเกงในของผู้เสียหายที่ 1 จึงพาผู้เสียหายที่ 1 ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล โดยจำเลยรับข้อเท็จจริงว่า นางสาว ศ. และนางสาว ร. เป็นแพทย์ผู้ตรวจร่างกายผู้เสียหายที่ 1 และนางสาว ศ. ให้การต่อพนักงานสอบสวน ซึ่งได้ความว่าตรวจพบรอยแดงที่อวัยวะเพศด้านนอกและมีหนองสีเขียวข้นไหลออกจากอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 ตรวจทางห้องปฏิบัติการพบเชื้อแบคทีเรีย จึงทำความเห็นว่า ผู้เสียหายที่ 1 ติดเชื้อในระบบสืบพันธุ์ สงสัยเชื้อหนองใน นางสาว ศ .จึงได้สอบถามผู้เสียหายที่ 1 ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผู้เสียหายที่ 1 รับว่าถูกจำเลยกระทำชำเราโดยใช้นิ้วแหย่ที่อวัยวะเพศและใช้อวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของตน เมื่อส่งตัวผู้เสียหายที่ 1 ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล นางสาว ร. เป็นแพทย์ผู้ตรวจ พบว่าอวัยวะเพศภายนอกบริเวณปากช่องคลอดแดงอักเสบมีหนองไหลออกจากช่องคลอดของผู้เสียหายที่ 1 จึงทำความเห็นว่า ผู้เสียหายที่ 1 ช่องคลอดอักเสบติดเชื้อแบคทีเรีย พยานโจทก์จึงมีความสอดคล้องกันและประกอบด้วยเหตุผลโดยไม่ปรากฏข้อพิรุธใดว่าจะเบิกความเพื่อปรักปรำจำเลย น่าเชื่อว่าผู้เสียหายที่ 1 เบิกความไปตามความเป็นจริง ที่จำเลยอ้างว่า วันเกิดเหตุจำเลยไม่เคยพบผู้เสียหายที่ 1 เพราะจำเลยและนางสาว ส. ออกจากบ้านตั้งแต่เวลา 10 นาฬิกา เพื่อไปแลกข้าวเปลือกและซื้อของเก่ามาขาย กลับถึงบ้านเวลา 13 นาฬิกา พักผ่อนแล้วไปยกร่องสวนเพื่อปลูกผัก เมื่อเสร็จงานแล้วจำเลยไปดื่มสุรากับนาย ส. และนาย พ. จนถึงเวลา 18 นาฬิกา จึงกลับบ้าน โดยมีนางสาว ส. เด็กหญิง ส. นาย ส. และนาย พ. มาเบิกความสนับสนุนนั้น เห็นว่า จำเลยเคยอ้างต่อพนักงานสอบสวนว่า ช่วงบ่ายวันเกิดเหตุ จำเลยและนางสาว ส. ไปขุดดินเพื่อปลูกผักจนเวลา 18 นาฬิกา จำเลยและนางสาว ส. จึงกลับบ้าน และเข้านอนเวลาประมาณ 20 นาฬิกา โดยจำเลยมิได้ให้การแต่อย่างใดว่าจำเลยไปดื่มสุรากับกับนาย ส. และนาย พ. ข้ออ้างของจำเลยส่อพิรุธ เช่นนี้ แม้จะเป็นข้อเท็จจริงหลังเกิดเหตุก็ตาม แต่ส่งผลให้คำเบิกความของจำเลยเกี่ยวกับข้อเท็จจริงในขณะเกิดเหตุว่า มิได้เป็นการเบิกความตามความจริงมาแต่ต้น ส่วนคำเบิกความของนางสาว ส. และเด็กหญิง ส. ล้วนแตกต่างจากข้อเท็จจริงที่จำเลยให้การในชั้นสอบสวน จึงไม่อาจนำมาสนับสนุนข้ออ้างของจำเลยให้มีน้ำหนักน่ารับฟัง พยานหลักฐานของจำเลยไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ในวันเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 ออกจากบ้านไปเล่นกับเด็กหญิง ส. ที่บ้านเกิดเหตุ และขณะที่เด็กหญิง ส. ไปขี่รถจักรยานเล่นข้างนอก ปล่อยให้ผู้เสียหายที่ 1 นั่งดูโทรทัศน์อยู่ในบ้านเกิดเหตุเพียงคนเดียว จำเลยจึงเข้ามาในบ้านเกิดเหตุปิดประตูใส่กลอนไม่ให้ผู้เสียหายที่ 1 ออกจากบ้านแล้วกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 ถือได้ว่าจำเลยรบกวนสิทธิหรือแยกผู้เสียหายที่ 1 ออกไปจากอำนาจปกครองของผู้เสียหายที่ 2 และทำให้อำนาจปกครองของผู้เสียหายที่ 2 ถูกรบกวนหรือถูกระทบกระเทือนโดยผู้เสียหายที่ 2 ไม่รู้เห็นยินยอมด้วย อันเป็นการล่วงละเมิดอำนาจปกครองของผู้เสียหายที่ 1 ไปเสียจากอำนาจปกครองของผู้เสียหายที่ 2 ผู้เป็นมารดา จำเลยจึงมีความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร กระทงหนึ่ง และฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี โดยเด็กนั้นไม่ยินยอม อีกกระทงหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ.2562 มาตรา 5 ให้ยกเลิกความในมาตรา 277 และให้ใช้ความที่บัญญัติใหม่ และอัตราโทษใหม่แทน แต่บทบัญญัติตามกฎหมายใหม่ไม่เป็นคุณแก่จำเลย จึงต้องใช้กฎหมายเดิมซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ขณะกระทำความผิดบังคับแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสาม (เดิม), 317 วรรคสาม (เดิม) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share