แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันสั่งสินค้าของโจทก์มาจำหน่ายยังค้างชำระราคาสินค้าโจทก์อยู่ จำเลยที่ 1 ปฏิเสธว่าไม่ได้สั่งซื้อ จำเลยที่ 2 ให้การว่าได้สั่งซื้อในนามของจำเลยที่ 1 ศาลล่างพิพากษามาให้จำเลยร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินค้าที่ค้างชำระจำนวนหนึ่งแก่โจทก์ จำเลยที่ 2 ไม่ฎีกา คดียุติชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ จำเลยที่ 1 จะฎีกาว่าจำเลยที่ 2 ค้างชำระค่าสินค้าโจทก์อยู่เพียง 2 หมื่นบาทเศษ หาได้ไม่ เพราะตนมิได้ต่อสู้เป็นประเด็นไว้ในคำในการ
จำเลยที่ 2 ติดต่อสั่งซื้อสินค้าหลายรายการหลายครั้ง จากโจทก์ขณะเป็นผู้จัดการจำเลยที่ 1 และได้กระทำในนามของจำเลยที่ 1 โดยลงชื่อในตำแหน่งผู้จัดการจำเลยที่ 1 กับได้ประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 ในเอกสารต่าง ๆ ทุกฉบับ ถือว่าได้ซื้อในนามหรือแทนจำเลย ที่ 1 ตามหน้าที่ของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 จึงมีหน้าที่ร่วมกับจำเลยที่ 2 ที่ จะต้องชำระราคาที่ค้างชำระอยู่แก่โจทก์ จำเลยที่ 1 จะยกเอาคำสั่งภายในที่โจทก์ ไม่รู้มายันโจทก์ เพื่อปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้
หมายเหตุในใบส่งของของโจทก์ระบุให้ฟ้องคดีต่อศาลจังหวัดกรุงเทพนั้นเป็นข้อความที่โจทก์พิมพ์ไว้แต่ฝ่ายเดียว ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ตกลงด้วย จึงไม่ใช่ข้อตกลงที่จะผูกพันความ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 7 (4) โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีต่อ ศาลจังหวัดนครปฐม ซึ่งจำเลยทั้งสองมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจได้ตามมาตรา 4 (2)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้จัดการจำเลยที่ ๑ และในฐานะส่วนตัวได้ตกลงซื้อเครื่องยนต์ชนิด และขนาดต่างๆ จากโจทก์หลายรายการและค้างชำระราคาอยู่ ๗ หมื่นบาทเศษ ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินที่ค้างพร้อมด้วยดอกเบี้ย ร้อยละ ๑๕ ต่อปี แก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การปฏิเสธว่าไม่เคยซื้อสินค้าจากโจทก์ จำเลยที่ ๒ ทำในฐานะส่วนตัว จำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้จัดการจำเลยที่ ๑ มีอำนาจสั่งสินค้ามาจำหน่ายได้คราวละไม่เกินวงเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท โจทก์ไม่มีอำนาจเรียกจากจำเลยที่ ๑
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ เป็นเพียงผู้แทนช่วงจำหน่ายสินค้าให้โจทก์ ที่มาฝากขาย เก็บเงินได้เท่าใดจำเลยที่ ๒ ก็ส่งให้โจทก์เท่านั้นคงค้างอยู่อีก ๒๐,๓๙๖ บาทเท่านั้น จำเลยที่ ๒ มิได้ซื้อสินค้าไว้ จึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าดอกเบี้ยแก่โจทก์ ขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๒ เป็นเพียงตัวแทนของโจทก์ในการจัดจำหน่ายสินค้าไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๑ พิพากษาให้จำเลยที่ ๒ ชำระค่าสินค้าที่ค้าง ๒๐,๓๙๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๒ สั่งซื้อสินค้าในนามของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิดร่วมด้วย และฟังว่ายังค้างชำระอยู่ ๖๔,๕๓๔ บาท พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน จำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗ ครึ่ง ต่อปีแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่าจำเลยที่ ๒ ค้างชำระค่าสินค้าอยู่เพียง ๒๐,๓๙๖ บาทที่ศาลชั้นต้นพิพากษานั้น ปรากฏว่าปัญหาข้อนี้จำเลยที่ ๑ มิได้ยกขึ้นต่อสู้เป็นประเด็นไว้ในคำให้การของจำเลยที่ ๑ จึงมิใช่ปัญหาที่จำเลยที่ ๑ ได้ยกขึ้นว่ามาแล้วในศาลชั้นต้น ฎีกาจำเลยที่ ๑ ในข้อนี้จึงเป็นฎีกาที่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
สำหรับปัญหาที่ว่าจำเลยที่ ๒ ทำในนามของจำเลยที่ ๑ หรือไม่นั้น ปรากฏว่าจำเลยที่ ๒ สั่งซื้อสินค้าขณะเป็นผู้จัดการจำเลยที่ ๑ และลงชื่อในตำแหน่งผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ และประทับตราของจำเลยที่ ๑ ในเอกสารต่างๆ ทุกฉบับประกอบกับคำเบิกความของพยานโจทก์ฟังได้ว่า จำเลยที่ ๒ ทำในนามหรือแทนจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ จึงมีหน้าที่ร่วมกับจำเลยที่ ๒ ที่จะต้องชำระราคาที่ค้างชำระอยู่แก่โจทก์ จำเลยที่ ๑ จะยกเอาเหตุที่จำเลยที่ ๒ ปฏิบัติเรื่องการซื้อขายผิดข้อบังคับซึ่งเป็นเรื่องภายในขึ้นยันโจทก์ เพื่อปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ ที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่าปรากฏในใบส่งของที่โจทก์อ้างส่งต่อศาลมีระบุไว้ในช่องหมายเหตุว่าการฟ้องคดีให้ฟ้องที่ศาลจังหวัดกรุงเทพ โจทก์จึงไม่มีอำนาจนำคดีมาฟ้องที่ศาลจังหวัดนครปฐมนั้น เห็นว่า ตามที่ปรากฏในใบส่งของดังกล่าว เป็นข้อความที่ฝ่ายโจทก์พิมพ์ไว้แต่ฝ่ายเดียว ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับตกลงด้วย จึงไม่ใช่ข้อตกลงที่จะผูกพันกันตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๗ (๔) เขตอำนาจศาลยังคงเป็นไปตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๔ (๒) โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ต่อศาลจังหวัดนครปฐมซึ่งจำเลยทั้งสองมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจได้ ฎีกาข้ออื่น ๆ ของจำเลยที่ ๑ นอกจากที่ได้วินิจฉัยแล้วล้วนไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้
พิพากษายืน