คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1041/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ป.อ. มาตรา 56 วรรคหนึ่ง กำหนดเงื่อนไขที่จะรอการลงโทษจำคุกแก่จำเลยได้นั้น ต้องปรากฏว่าจำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน ดังนั้น เมื่อจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาแล้ว ก็ไม่อาจรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยได้อีก โดยไม่จำต้องพิจารณาว่าจำเลยได้รับโทษมาแล้วเพียงใด
ป.อ. มาตรา 58 บัญญัติว่า “…ภายในเวลาที่ศาลกำหนดตามมาตรา 56 ผู้ที่ถูกศาลพิพากษาได้กระทำความผิด… และศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกสำหรับความผิดนั้น ให้ศาลที่พิพากษาคดีหลัง… บวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษคดีหลัง…” ดังนั้น เมื่อจำเลยกระทำความผิดในคดีนี้ และศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกโดยไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย จึงต้องนำโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษจำคุกของจำเลยในคดีนี้ แม้จำเลยจะรับโทษปรับ หรือถูกกักขังแทนค่าปรับ หรือปฏิบัติตามเงื่อนไขการคุมความประพฤติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นครบถ้วนแล้วก็ตาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 67 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58, 92 เพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมายและนำโทษที่รอการลงโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 930/2544 และ 1713/2544 ของศาลชั้นต้นบวกเข้ากับโทษในคดีนี้
จำเลยให้การรับสารภาพและรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 67 จำคุก 1 ปี ปรับ 30,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน ปรับ 15,000 บาท โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด 2 ปี ให้คุมประพฤติจำเลยมีกำหนด 2 ปี โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 8 ครั้ง ให้กระทำกิจกรรมบริการสังคมตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรเป็นเวลา 20 ชั่วโมง ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษทุกประเภทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 คำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 67 จำคุก 1 ปี เพิ่มโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุก 1 ปี 4 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 8 เดือน บวกโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 930/2544 และ 1713/2544 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษในคดีนี้ รวมจำคุก 2 ปี 2 เดือน โดยไม่ปรับและไม่รอการลงโทษจำคุก
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยต้องถูกขังในระหว่างพิจารณาทั้งในศาลชั้นต้น ชั้นอุทธรณ์ และชั้นฎีกา จึงถือว่าจำเลยได้รับโทษมาบ้างแล้วพอสมควรที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยรอการลงโทษจำคุกแก่จำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 วรรคหนึ่ง กำหนดเงื่อนไขที่จะรอการลงโทษจำคุกแก่จำเลยได้นั้น ต้องปรากฏว่าจำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน ดังนั้น เมื่อจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาแล้ว ศาลฎีกาก็ไม่อาจพิจารณารอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยได้อีก ไม่ว่าจำเลยจะได้รับโทษมาบ้างแล้วแค่ไหนเพียงใด ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยต่อไปว่า เมื่อศาลชั้นต้นลงโทษปรับจำเลยและจำเลยต้องโทษกักขังแทนค่าปรับครบถ้วน รวมทั้งจำเลยได้รายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติและบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมครบถ้วนตามเงื่อนไขและเงื่อนเวลาที่ศาลกำหนด จึงถือว่าจำเลยได้รับโทษครบถ้วนแล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่ควรนำโทษจำคุกในคดีก่อนที่รอการลงโทษไว้มาบวกเข้ากับโทษจำคุกในคดีนี้อีกนั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 บัญญัติว่า “…ภายในเวลาที่ศาลกำหนดตามมาตรา 56 ผู้ที่ถูกศาลพิพากษาได้กระทำความผิด… และศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกสำหรับความผิดนั้น ให้ศาลที่พิพากษาคดีหลัง… บวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษคดีหลัง…” ดังนั้น เมื่อจำเลยกระทำความผิดในคดีนี้ และศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาลงโทษจำคุกโดยไม่รอการลงโทษจำคุกแก่จำเลยได้ด้วยเหตุดังวินิจฉัยไว้แล้วข้างต้น ศาลอุทธรณ์ภาค 8 จึงต้องนำโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษจำคุกของจำเลยในคดีนี้ แม้จำเลยจะรับโทษปรับหรือถูกกักขังแทนค่าปรับครบถ้วนแล้วหรือปฏิบัติตามเงื่อนไขการคุมความประพฤติครบถ้วนแล้วก็ตาม ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share