คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1040/2549

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 รู้ว่า จำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย การที่จำเลยที่ 2 ขับรถไถนาพาจำเลยที่ 1 นำเมทแอมเฟตามีนไปส่งให้แก่ผู้ค้าเมทแอมเฟตามีนนั้น ย่อมเป็นการช่วยเหลือและให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 ก่อนหรือขณะที่จำเลยที่ 1 กระทำความผิดดังกล่าว จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯ เป็นกฎหมายพิเศษที่กำหนดให้ผู้สนับสนุนหรือช่วยเหลือผู้กระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิดต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการในความผิดนั้น บทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวเป็นผลร้ายแก่จำเลยที่ 2 เพราะทำให้จำเลยที่ 2 ต้องรับโทษสูงขึ้น เมื่อโจทก์มิได้บรรยายฟ้องและอ้างมาตรา 6 (1) ตาม พ.ร.บ. ดังกล่าวมาในคำขอท้ายฟ้อง จึงต้องถือว่า โจทก์ไม่ประสงค์จะให้ลงโทษตามมาตราดังกล่าวตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสี่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15, 57, 66, 67, 91, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 83, 33 พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 10 ริบของกลางและวางโทษจำเลยที่ 1 เป็นสามเท่าของโทษที่ลงแก่จำเลยที่ 1 ตามกฎหมาย
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่งและวรรคสอง, 66 วรรคสอง, 67, 57, 91 ประกอบพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 10 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ซึ่งต้องระวางโทษเป็นสามเท่า คงจำคุกตลอดชีวิต ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำคุก 1 ปี ฐานเสพเมทแอมเฟตามีนจำคุก 1 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 (ที่ถูกเฉพาะฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายประกอบมาตรา 53 ด้วย) กระทงละกึ่งหนึ่ง ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายคงจำคุก 25 ปี ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองจำคุก 6 เดือน ฐานเสพเมทแอมเฟตามีนจำคุก 6 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 25 ปี 12 เดือน จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสอง, 66 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 และมาตรา 53 จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 16 ปี 8 เดือน ส่วนจำเลยที่ 3 ขณะกระทำความผิดอายุกว่า 14 ปี แต่ไม่เกิน 17 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 8 ปี 4 เดือน ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง ยกคำขอให้ริบของกลางอื่น และข้อหาอื่นสำหรับจำเลยที่ 3 ให้ยก
โจทก์ จำเลยที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่งและวรรคสอง (เดิม), 57, 66 วรรคสอง (เดิม), 67 (ที่แก้ไขใหม่), 91 (ที่แก้ไขใหม่) ประกอบพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 10 และจำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสอง (เดิม), 66 วรรคสอง (เดิม) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ลงโทษจำเลยที่ 1 โดยระวางโทษเป็นสามเท่าในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง และฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุกกระทงละ 3 ปี ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกกระทงละ 1 ปี 6 เดือน เมื่อรวมกับโทษในความผิดอื่นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วเป็นจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 27 ปี 12 เดือน ส่วนจำเลยที่ 2 จำคุก 33 ปี 4 เดือน คำให้การของจำเลยที่ 2 ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 16 ปี 8 เดือน ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 3 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ซึ่งมีตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลเชียงทอง กิ่งอำเภอวังเจ้า จังหวัดตาก ได้กระทำความผิดตามฟ้อง คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ โดยจำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้รู้เห็นว่าจำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนของกลางนั้น เห็นว่า โจทก์มีพันตำรวจโทศราวุธ มัจฉา ร้อยตำรวจเอกภาณุวัฒน์ ภูจอมเพชร และสิบตำรวจเอกวิชาญ มงคล ผู้ร่วมจับกุมจำเลยทั้งสามเป็นพยานเบิกความสอดคล้องต้องกันว่า ได้สืบทราบจากสายลับว่า ในวันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 จะนำเมทแอมเฟตามีนจากบ้านผาผึ้งไปส่งที่ตำบลนาโบสถ์ การขนเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวจะมีรถจักรยานยนต์นำหน้าและมีรถไถนาแบบเดินตามมีพ่วงตามมา ต่อมาในวันเกิดเหตุนั้นเองพยานโจทก์ทั้งสามกับพวกจับกุมจำเลยที่ 1 ได้ ในขณะจำเลยที่ 1 นั่งมาในรถไถนาแบบเดินตามที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยที่ 1 เป็นคนขับ และจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรอีกคนหนึ่งของจำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์นำหน้าไป โดยจำเลยที่ 1 นำเมทแอมเฟตามีนจำนวน 5,052 เม็ด ของกลาง ซึ่งบรรจุในถุงพลาสติกแล้วซุกซ่อนไว้ในกระบอกข้าวหลามจำนวน 5 กระบอก ใส่มาในรถไถนาแบบเดินตามเพื่อนำไปส่งให้แก่ผู้ค้าเมทแอมเฟตามีนที่บริเวณหน้าโรงเรียนผดุงปัญญานาโบสถ์ด้วย ชั้นจับกุมจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การว่าทราบว่าจำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายแต่ไม่ทราบรายละเอียดการซื้อขายเมทแอมเฟตามีน และร้อยตำรวจเอกไพโรจน์ โนรี พนักงานสอบสวนเบิกความว่าชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ทราบเรื่องที่จำเลยที่ 1 นำเมทแอมเฟตามีนของกลางไปส่งให้แก่ผู้ค้าเมทแอมเฟตามีน พยานโจทก์เหล่านี้เป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติราชการไปตามหน้าที่และไม่เคยรู้จักจำเลยที่ 2 มาก่อน ไม่มีเหตุที่จะแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลยที่ 2 เชื่อได้ว่าเบิกความไปตามความจริงโดยเฉพาะจำเลยที่ 2 ให้การต่อเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมและพนักงานสอบสวนทันทีทันใดในวันเกิดเหตุ จึงยังไม่ทันไตร่ตรองบิดเบือนข้อเท็จจริง ซึ่งหากไม่เป็นความจริง จำเลยที่ 2 ก็ย่อมปฏิเสธได้ในชั้นสอบสวนเพราะเป็นเจ้าพนักงานต่างคนและจดบันทึกคนละเวลากัน จึงเชื่อว่า จำเลยที่ 2 ให้การตามความเป็นจริงและโดยสมัครใจ มิใช่เจ้าพนักงานตำรวจทำขึ้นเองโดยพลการ พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักรับฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่า จำเลยที่ 2 รู้ว่าจำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อนำไปจำหน่าย การที่จำเลยที่ 2 ขับรถไถนาแบบเดินตามพาจำเลยที่ 1 นำเมทแอมเฟตามีนของกลางไปส่งให้แก่ผู้ค้าเมทแอมเฟตามีนนั้น ย่อมเป็นการช่วยเหลือและให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 ก่อนหรือขณะที่จำเลยที่ 1 กระทำความผิดดังกล่าว จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ที่จำเลยที่ 2 อ้างว่าตนไม่ได้รู้เห็นว่าจำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นเพียงข้ออ้างลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น แต่เนื่องจากพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 เป็นกฎหมายพิเศษที่กำหนดโทษให้ผู้สนับสนุนหรือช่วยเหลือผู้กระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิดต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการในความผิดนั้น บทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวเป็นผลร้ายแก่จำเลยที่ 2 เพราะทำให้จำเลยที่ 2 ต้องรับโทษสูงขึ้น เมื่อโจทก์มิได้บรรยายฟ้องและอ้างมาตรา 6 (1) ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวมาในคำขอท้ายฟ้อง จึงต้องถือว่า โจทก์ไม่ประสงค์จะให้ลงโทษตามมาตราดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 โดยปรับบทลงโทษฐานเป็นผู้สนับสนุนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล นอกจากนี้ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองและฐานเสพเมทแอมเฟตามีนเป็นสามเท่าของโทษที่กำหนดและลงโทษจำคุกกระทงละ 3 ปีนั้นยังไม่ถูกต้อง เพราะตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 3 และมาตรา 10 ระวางโทษหนักขึ้นเป็นสามเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น เฉพาะความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดซึ่งหมายความถึงการผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเท่านั้น แม้ปัญหานี้จะไม่มีฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
อนึ่งรถไถนา (อีแต๊ก) 1 คัน รถจักรยานยนต์คันหมายเลขทะเบียน กนก 818 กำแพงเพชร และเงินสด 2,800 บาท ที่ศาลล่างทั้งสองยกคำขอให้ริบ เห็นควรสั่งคืนให้แก่เจ้าของเสียด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนและฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุกกระทงละ 1 ปี เมื่อลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งแล้วคงจำคุกกระทงละ 6 เดือน เมื่อรวมกับโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายด้วยแล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 25 ปี 12 เดือน คืนรถไถนา (อีแต๊ก) 1 คัน รถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน กนก 818 กำแพงเพชร และเงินสด 2,800 บาท แก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6″

Share