แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ปรากฏตามสำเนาทะเบียนสมรสว่าจำเลยจดทะเบียนสมรสกับ ส. เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2524 และทางราชการได้ออกโฉนดที่ดินเลขที่ 26526 ให้แก่ ส. เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2542 โดยไม่ปรากฏว่า ส. ได้ที่ดินมาด้วยเหตุใด กรณีจึงต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าที่ดินแปลงนี้เป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับ ส. ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1474 (1) และวรรคสอง โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำเลยย่อมมีสิทธิตาม ป.วิ.พ. มาตรา 278 ประกอบมาตรา 282 ที่จะบังคับคดีเอาชำระหนี้จากที่ดินแปลงนี้ได้
ผู้ร้องและ ส. มีภูมิลำเนาอยู่หมู่ที่ 1 เช่นเดียวกัน จำเลยกับ ส. แต่งงานกันมาเกือบ 30 ปี และผู้ร้องทราบจาก ก. บ. และ ป. ก่อนผู้ร้องจะทำสัญญาซื้อที่ดินจาก ส. ว่าบุคคลทั้งสามกับพวกกำลังดำเนินคดีแก่จำเลยกับ ส. เป็นคดีอาญาและดำเนินคดีทางแพ่งแก่จำเลยอีกด้วย จึงรับฟังได้ว่าผู้ร้องซื้อที่ดินจาก ส. โดยคบคิดกันฉ้อฉลทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบตาม ป.พ.พ. มาตรา 237 ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยการยึด
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องเรียกเงินตามหนังสือรับสภาพหนี้จากจำเลย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 70,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยแต่จำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงขอหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 26526 ซึ่งมีชื่อนายสมาน โพธิ์ชัย สามีจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์โดยอ้างว่าเป็นสินสมรสของจำเลยกับนายสมาน เพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ที่ดินพิพาทที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้องส่วนหนึ่ง โดยผู้ร้องซื้อมาจากนายสมาน โพธิ์ชัย จำนวน 1 ไร่ 1 งาน 35 ตารางวา และได้แบ่งแยกที่ดินออกเป็นโฉนดเลขที่ 27593 แล้ว ผู้ร้องทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทกับนายสมานตั้งแต่ปี 2542 และเป็นการซื้อโดยสุจริต เสียค่าตอบแทน โดยมิได้ฉ้อฉลเพื่อให้โจทก์เสียเปรียบ ขอให้ศาลสั่งปล่อยทรัพย์ที่ยึดคืนแก่ผู้ร้อง
โจทก์ให้การ ขอให้ยกคำร้องขอและเพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 26526 ลงวันที่ 19 มกราคม 2543
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกคำร้องขอ และให้เพิกถอนหนังสือสัญญาแบ่งขายที่ดินโฉนดเลขที่ 26526 ตำบลบ้านเขว้า อำเภอบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ ฉบับลงวันที่ 19 มกราคม 2543 ระหว่างนายสมาน โพธิ์ชัย กับผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่าจำเลยเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสมาน โพธิ์ชัย และนายสมานมีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 26526 ตำบลบ้านเขว้า อำเภอบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ เนื้อที่ 2 ไร่ 1 งาน 36 ตารางวา ต่อมาวันที่ 19 มกราคม 2543 นายสมานทำหนังสือสัญญาแบ่งขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องในราคา 300,000 บาท และแบ่งแยกออกเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 27593 เนื้อที่ 1 ไร่ 1 งาน 35 ตารางวา ครั้นวันที่ 20 มกราคม 2543 นายบุญเลียม รักษาศิลป์ ผู้แทนโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 26526 เดิมซึ่งมีเนื้อที่ 2 ไร่ 1 งาน 36 ตารางวา โดยอ้างว่าเป็นสินสมรสของจำเลยกับนายสมาน เพื่อนำออกขายทอดตลาดชำระหนี้ตามคำพิพากษา คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า นายสมานมิได้เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์และโจทก์มิได้นำสืบให้ปรากฏข้อเท็จจริงว่าที่ดินที่ถูกยึดเป็นสินสมรสของจำเลยกับนายสมาน กับผู้ร้องซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 26526 บางส่วนซึ่งแบ่งแยกเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 27593 จากนายสมานโดยสุจริต โจทก์จึงไม่มีสิทธินำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 27593 หรือไม่ เห็นว่า จากสำเนาทะเบียนการสมรสปรากฏชัดว่าจำเลยจดทะเบียนสมรสกับนายสมานเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2524 และทางราชการได้ออกโฉนดที่ดินเลขที่ 26526 ให้แก่นายสมานเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2542 โดยไม่ปรากฏว่านายสมานได้ที่ดินมาด้วยเหตุใด กรณีจึงต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าที่ดินแปลงนี้เป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับนายสมาน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1474 (1) และวรรคสอง ซึ่งผู้ร้องมิได้นำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามทางนำสืบของโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 278 ประกอบมาตรา 282 ที่จะบังคับคดีเอาชำระหนี้จากที่ดินแปลงนี้ได้ ส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่า ผู้ร้องรับโอนที่ดินจากนายสมานโดยสุจริตนั้น คงมีผู้ร้องเพียงปากเดียวเบิกความลอย ๆ ว่า ผู้ร้องซื้อที่ดินตามคำร้องขอจากนายสมานโดยไม่ทราบว่าจำเลยเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์ แต่ผู้ร้องตอบคำถามค้านทนายโจทก์รับว่า ผู้ร้องและนายสมานมีภูมิลำเนาอยู่หมู่ที่ 1 เช่นเดียวกัน จำเลยกับนายสมานแต่งงานกันมาเกือบ 30 ปี และมีบุตรด้วยกัน 2 คน และผู้ร้องได้ความจากนายแก้ว คุ้มกุดขมิ้น นายบุญเลียมและนางประพันธ์ คุ้มเขว้า ก่อนผู้ร้องจะทำสัญญาซื้อที่ดินจากนายสมานว่าบุคคลทั้งสามกับพวกกำลังดำเนินคดีแก่จำเลยกับนายสมานเป็นคดีอาญา และดำเนินคดีทางแพ่งแก่จำเลยอีกด้วย ซึ่งเจือสมกับคำเบิกความของนายบุญเลียมและนายแก้วพยานโจทก์ที่ระบุว่าบุคคลทั้งสองได้แจ้งให้ผู้ร้องทราบก่อนแล้วว่าที่ดินแปลงนี้กำลังจะถูกบังคับคดี ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าผู้ร้องซื้อที่ดินตามคำร้องขอจากนายสมานโดยคบคิดกันฉ้อฉลทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยการยึด และคดีไม่มีปัญหาว่าโจทก์ยึดทรัพย์เกินกว่าที่พอจะชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 284 หรือไม่ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาคดีชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน