แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การที่โจทก์ปลูกเรือนอยู่ในที่พิพาทโดยสงบ เปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาเกินกว่าสิบปี จึงได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1382นั้น แม้โจทก์ไม่เคยแจ้งการครอบครองที่ดิน ไม่เคยเสียภาษีบำรุงท้องที่และเมื่อมีการรังวัดแบ่งแยกที่ดินเพื่อโอนทางทะเบียนก็ไม่เคยโต้แย้งหรือคัดค้านแต่อย่างใด ก็ไม่เป็นเหตุให้โจทก์เสียสิทธิที่มีอยู่กับที่พิพาทไป
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ที่ดินภายในเส้นสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยตามฟ้องแย้ง ให้โจทก์ทั้งสามและบริวารรื้อถอนโรงเรือนสิ่งก่อสร้างออกไปจากที่ดินดังกล่าวและใช้ค่าเสียหายเดือนละ 120 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าออกไปจากที่ดินศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ที่พิพาทภายในตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ 2 งาน เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสาม ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง และให้จำเลยดำเนินการแบ่งแยกโฉนดให้โจทก์ทั้งสามมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ ถ้าจำเลยไม่จัดการให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน ยกฟ้องแย้ง จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าโจทก์ทั้งสามปลูกเรือนอยู่ในที่พิพาทโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาเกินกว่าสิบปี จึงได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ทั้งสามไม่เคยแจ้งการครอบครองที่ดินไม่เคยเสียภาษีบำรุงท้องที่สำหรับที่พิพาท เมื่อมีการรังวัดแบ่งแยกที่ดินและโอนทางทะเบียน โจทก์ทั้งสามไม่เคยโต้แย้งหรือค้านแต่อย่างใด ไม่เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสามเสียสิทธิที่มีอยู่กับที่พิพาท”
พิพากษายืน