แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์มีประจักษ์พยานปากเดียวมาเบิกความยันกับจำเลยแต่เป็นคำพยานที่ขัดกับพยานแวดล้อมอื่นเมื่อประจักษ์พยานให้การว่าเห็นจำเลยเป็นคนร้ายหลังจากที่พยานเองถูกพนักงานสอบสวนสอบปากคำเพราะสงสัยว่าพยานจะร่วมทำร้ายผู้ตายคำของพยานโจทก์ดังกล่าวจึงมีน้ำหนักน้อยไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลยได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกระทงต่างกันกล่าวคือจำเลยพาอาวุธมีดปลายแหลมติดตัวไปตามทางสาธารณะ โดยเปิดเผยและโดยไม่มีเหตุสมควรและจำเลยกับพวกอีกหลายคนซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้องได้ร่วมกันใช้มีดปลายแหลมยาวประมาณ 1 คืน แทงนายกิจพจน์ วิเศษคุปต์ ที่หน้าอกขวาเหนือราวนมไปทะลุปอดขวาซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญ โดยมีเจตนาฆ่า เป็นเหตุให้นายกิจพจน์ถึงแก่ความตายก่อนคดีนี้จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2526 ให้จำคุก 2 เดือน และรอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 403/2526 ภายในเวลาที่ศาลกำหนดดังกล่าวจำเลยกระทำความผิดในคดีนี้อีก ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 58, 90, 288, 871 และบวกโทษที่รอการลงดทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 403/2526 เข้ากับโทษในคดีนี้
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 288, 371 เรียงกระทงลงโทษ เมื่อพิเคราะห์การกระทำของจำเลยแล้วให้จำคุกไว้ตลอดชีวิตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 เมื่อศาลลงโทษจำคุกตลอดชีวิตแล้ว จึงไม่บวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 403/2526
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จ่าสิบเอกสว่างพยานโจทก์ซึ่งเป็นประจักษ์พยานเพียงคนเดียวเบิกความว่า วันเวลาเกิดเหตุขณะที่พยานอยู่ที่ชั้นบนของบ้านและเปิดไฟนีออนขนาด 40 แรงเทียงไว้ ได้ยินเสียงคนกอดปล้ำกันแล้วไปโดนสังกะสี พยานจึงโผล่หน้าต่างออกไปดูมีแสงไฟเห็นได้ประมาณ 5 เมตร เห็นคนร้าย 3 คนกำลังปล้ำผู้ตายอยู่ที่ทางเดินเข้าบ้านและเห็นจำเลยถือมีด 1 เล่มด้วยมือขวา กับทำท่ายกมีด จากนั้นพวกของจำเลยช่วยกันลากผู้ตายไปที่มุมมืด จึงมองไม่เห็นเมื่อผู้ตายร้องเรียกให้ช่วยพยานไปดูผู้ตาย แล้วไปบ้างนางมะลิเมื่อแจ้งข่าว เห็นจำเลยกับพวกรวม 4 คน ยืนอยู่ที่หน้าบ้านนางมะลิ จำเลยขู่ว่าอย่างยุ่งได้ไหมจะเอาอีกคน พยานจึงกลับบ้านและให้นางอัญชลีไปตามญาติผู้ตาย ซอยที่เกิดเหตุไม่มีแสงไฟฟ้าที่ถนนพยานเห็นเหตุการณืเพราะเปิดไฟบ้านทางหน้าบ้านพยานมีอิฐบล๊อกก่อสูงประมาณ 5-6 ฟุต คำของจ่าสิบเอกสว่างดังกล่าวนอกจากจะไม่เห็นว่าจำเลยใช้มีดแทงผู้ตายแล้ว ยังเป็นการยันกันกับคำปฏิเสธของจำเลยด้วย ประกอบกับนางมะลิมารดาผู้ตายเบิกความว่า คืนเกิดเหตุเวลาประมาณ 22 นาฬิกาเศษ นางอัญชลีไปบอกพยานว่าผู้ตายนอนอยู่ที่หน้าบ้านนางอัญชลีโดยไม่ได้บอกว่าผู้ตายถูกใครทำร้าย และนายจุลชาติน้องผู้ตายเบิกความว่า คืนเกิดเหตุครั้งแรกนางอัญชลีไม่ได้บอกว่าผู้ตายถูกใครทำร้าย ต่อมาจึงบอกว่าผู้ตายถูกแทงแต่ไม่ได้ระบุชื่อคนร้าย ภายหลังจึงบอกว่าจำเลยเป็นคนแทง กับเบิกความด้วยว่าคืนเกิดเหตุเวลาประมาณ 3 นาฬิกา จ่าสิบเอกสว่างว่าจำเลยเป็นคนแทงผู้ตายโดยร่วมกับพวกรวม 4 คนด้วยกัน นางอัญชลีเบิกความว่า คืนเกิดเหตุเวลาประมาณ 23 นาฬิกา ตำรวจได้ไปค้นบ้านพยานและพาจ่าสิบเอกสว่างไปสอบปากคำที่สถานีตำรวจ เพราะสงสัยจะร่วมกันทำร้ายผู้จาย คำของจ่าสิบเอกสว่างจึงมีน้ำหนักน้อย และตามบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.2 ระบุว่า บ้านเลขที่ 45/22ซึ่งเป็นบ้านของจ่าสิบเอกสว่างมีไฟนีออนขนาด 100 แรงเทียน อยู่ใต้ถุนบ้านเปิดสว่างสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนในระยะประมาณ 20เมตร เป็นทำนองว่าจ่าสิบเอกสว่างสามารถเห็นเหตุการณ์ด้วยแสงไฟดวงดังกล่าวซึ่งแตกต่างกับคำของจ่าสิบเอกสว่างที่เบิกความว่าพยานเห็นเหตุการณ์เพราะเปิดไฟนีออนขนาด 40 แรงเทียนที่ชั้นบนของบ้าน สำหรับคำรับสารภาพในชั้นจับกุม จำเลยก็อ้างว่าได้เช็นชื่อไปโดยไม่ได้อ่านข้อความ และเมื่อพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนจำเลยในวันเดียวกันนั้น จำเลยก็ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ทำร้ายผู้ตาย พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักมั่นคงพอที่จะฟังลงโทษจำเลยได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน”.