คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1035/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คำฟ้องโจทก์ที่บรรยายว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้าย โดยจับแขนผู้เสียหายไว้ ทำให้ผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ แล้วจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเป็นการบรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำผิดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยที่ 2เข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ส่วนข้อที่ว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายโดยจำเลยคนใดเป็นผู้จับแขนข้างใด จำเลยร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอย่างไร จำเลยคนใดทำหน้าที่อะไรนั้นเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์นำสืบได้ในชั้นพิจารณาไม่จำเป็นต้องบรรยายมาในคำฟ้อง เป็นคำฟ้องที่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายโดยจับแขนของเด็กหญิงรวิมล หรือ เอฟ ณ พัทลุง ผู้เสียหาย อายุ12 ปีเศษไว้ทำให้ผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้แล้วจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายซึ่งมิใช่ภริยาของจำเลยทั้งสองโดยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิงโดยผู้เสียหายไม่ยินยอม ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 277 วรรคสอง, วรรคสาม
ขณะคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นจำเลยที่ 1ถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคสาม ขณะกระทำผิดจำเลยที่ 2 อายุ 15 ปีเศษลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75ประกอบมาตรา 53 ลงโทษจำคุก 25 ปี คำของจำเลยที่ 2 ที่ให้การต่อพนักงานคุมประพฤติและที่เบิกความไว้ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 16 ปี 8 เดือน แม้จำเลยที่ 2 จะมีความประพฤติเสียหายไม่สมกับอยู่ในวัยเรียน สูบบุหรี่ เสพกัญชาสูดดมสารระเหย ให้โทษประเภทกาว เคยหนีออกจากบ้าน มีนิสัยเกียจคร้านและเอาแต่ใจตนเองก็ตาม เห็นว่าจำเลยที่ 2 ยังเยาว์สมควรใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนแก้ไขให้กลับตัวเพื่อสวัสดิภาพและอนาคตของจำเลยที่ 2 จึงให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งจำเลยที่ 2 ไปฝึกและอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางมีกำหนดขึ้นต่ำ 2 ปี ขั้นสูง 4 ปี นับแต่วันพิพากษาคดี ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ. 2494 มาตรา 31(2)จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเด็กและเยาวชนพิพากษายืนจำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “ที่จำเลยที่ 2ฎีกาว่าคำฟ้องของโจทก์เป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) เพราะไม่ได้กล่าวรายละเอียดว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายอย่างไร จำเลยคนใดเป็นผู้จับแขนข้างใด จำเลยร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอย่างไร จำเลยคนใดทำหน้าที่อะไรนั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์บรรยายว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้าย โดยจับแขนผู้เสียหายไว้ ทำให้ผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้แล้วจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย เป็นคำฟ้องที่บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำผิดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยที่ 2 เข้าใจข้อหาได้ดีแล้วส่วนข้อที่ว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายโดยจำเลยคนใดเป็นผู้จับแขนข้างใด จำเลยร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอย่างไร จำเลยคนใดทำหน้าที่อะไรนั้น เป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์นำสืบได้ในชั้นพิจารณาไม่จำเป็นต้องบรรยายมาในคำฟ้อง คำฟ้องของโจทก์จึงไม่เป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบดังฎีกาของจำเลยที่ 2 ฎีกาของจำเลยที่ 2 ในปัญหานี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share