คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1035/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 ได้เชิดให้ ก. เป็นผู้มีอำนาจจัดกิจการต่าง ๆ ของจำเลยที่ 1 ก.ได้แสดงตนเองต่อบุคคลภายนอกว่าเป็นผู้มีอำนาจจัดกิจการงานต่าง ๆ ของจำเลยที่ 1 และได้สั่งจ่ายเช็คแลกเงินสดจากโจทก์มาใช้ในกิจการของจำเลยที่ 1 โจทก์นำเช็คไปขึ้นเงินไม่ได้ ดังนี้ จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์
ก. เป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิด แต่สอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของห้างฯ จำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ด้วย
จำเลยที่ 3 เข้ามาเป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดในฐานะเป็นผู้รับโอนหุ้นของ ก. เมื่อห้างฯ จำเลยที่ 1 ยังไม่เลิก โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิฟ้องร้องให้จำเลยที่ 3 รับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1095

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๔ และนายกุ่ยฮวง แซ่เล้า หรือ ฮวงกุ่ย แซ่เล้า หรือ เล่าฮวงกุ่ย ซึ่งเป็นสามีจำเลยที่ ๒ กับนายเอ็งคุง แซ่ลิ้ม ได้ร่วมกันจัดตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ ๑ ขึ้น จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลมีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการโรงพิมพ์ โดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ นายกุ่ยฮวงถึงแก่กรรม จำเลยที่ ๒ ได้ขอรับโอนหุ้นส่วนของผู้ตายจำนวนสองแสนบาทให้แก่จำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นบุตรของผู้ตาย และจำเลยที่ ๒ ส่วนนายเอ็งคุงหุ้นส่วนอีกคนหนึ่งได้โอนหุ้นให้แก่จำเลยที่ ๔ ห้างฯ จำเลยที่ ๑ จึงมีผู้ถือหุ้น ๓ คน คือ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ โดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการตามเดิม ในระหว่างที่นายกุ่ยฮวงยังมีชีวิตอยู่ ห้างฯ จำเลยที่ ๑ ได้เชิดให้นายกุ่ยฮวงเป็นผู้มีอำนาจจัดกิจการค้าต่าง ๆ ของจำเลยที่ ๑ อย่างเช่นหุ้นส่วนผู้จัดการทุกประการ และนายกุ่ยฮวงยังได้แสดงต่อบุคคลภายนอกว่าเป็นผู้มีอำนาจจัดกิจการงานต่าง ๆ ของจำเลยที่ ๑ อย่างหุ้นส่วนผู้จัดการ เป็นต้นว่า เป็นผู้มีอำนาจสั่งซื้อสินค้า สั่งจ่ายเช็ค เมื่อเงินหมุนเวียนในการดำเนินกิจการค้าของจำเลยที่ ๑ ไม่เพียงพอก็เป็นผู้จัดหากู้ยืมมาหรือสั่งจ่ายเช็คขอแลกเงินสดมาใช้จ่าย และดำเนินกิจการค้าของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ก็รับเอากิจการต่าง ๆ ที่นายกุ่ยฮวงกระทำไปเป็นประโยชน์ของจำเลยที่ ๑ เองทั้งสิ้น สำหรับจำเลยที่ ๔ แม้จะเป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิด แต่ได้สอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของจำเลยที่ ๑ เช่น เป็นผู้สั่งซื้อสินค้า รับสินค้านำเช็คที่นายกุ่ยฮวงสั่งจ่ายไปขอแลกเงินสดมาใช้ในกิจการของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๔ จึงต้องรับผิดในหนี้ของจำเลยที่ ๑ โดยไม่จำกัดจำนวน เมื่อระหว่างเดือนกันยายน ๒๕๑๕ ถึงพฤศจิกายน ๒๕๑๕ นายกุ่ยฮวงซึ่งจำเลยที่ ๑ เชิดให้เป็นผู้มีอำนาจจัดการ ได้ออกเช็คของธนาคารกรุงเทพจำกัด สาขาสะพานเหลืองขอแลกเงินสดจากโจทก์เพื่อไปใช้จ่ายในกิจการค้าของจำเลยที่ ๑ หลายครั้ง รวมเช็คทั้งสิ้น ๒๐ ฉบับ สั่งจ่ายระหว่างวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ ถึงวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๑๖ เป็นเงิน ๓๔๒,๓๘๐ บาท ซึ่งจำเลยที่ ๒ และที่ ๔ ทราบดีและยินยอมตลอดมา แต่เช็คทั้ง ๒๐ ฉบับเบิกเงินไม่ได้ โดยธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเพราะผู้สั่งจ่ายถึงแก่กรรม โจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้แล้วแต่จำเลยเพิกเฉย จึงขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน ๓๔๒,๓๘๐ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ไม่เคยเชิดนายกุ่ยฮวงทำการเป็นผู้จัดการของห้างฯ จำเลยที่ ๑ ไม่เคยให้ไปกู้ยืมเงิน หรือออกเช็คแลกเงินสดมาใช้กิจการของจำเลยที่ ๑ หากนายกุ่ยฮวงกระทำไปก็เป็นเรื่องส่วนตัวของนายกุ่ยฮวง จำเลยไม่ต้องรับผิดตามเช็ค สำหรับเช็คลงวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๑๒ สั่งจ่ายเงิน ๕,๒๘๐ บาท เป็นเวลาล่วงมากว่า ๓ ปี ขาดอายุความฟ้องร้องแล้ว เช็คทั้ง ๒๐ ฉบับตามฟ้องไม่ใช่เช็คที่นายกุ่ยฮวงสั่งจ่ายและมีการแลกเงินสดมาจากโจทก์ จำเลยที่ ๒ กับนายกุ่ยฮวงไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๔ ให้การว่า จำเลยที่ ๔ ไม่เคยสอดเข้าจัดกิจการของห้างฯ จำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๔ ได้ถอนหุ้นไปจากจำเลยที่ ๑ แล้วตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๓ ในฐานะทายาทผู้รับมรดกของนายกุ่ยฮวงใช้เงิน ๓๔๒,๓๘๐ บาท กับดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๑๖ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ (เฉพาะดอกเบี้ยก่อนฟ้องต้องไม่เกิน ๒๐,๐๔๑ บาท) แต่ไม่เกินทรัพย์มรดกส่วนที่ตกได้แก่จำเลยที่ ๓ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ร่วมกับจำเลยที่ ๓ ชำระเงิน ๓๔๒,๓๘๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๑๖ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ (เฉพาะดอกเบี้ยก่อนฟ้องต้องไม่เกิน ๒๑,๐๔๑ บาท) แต่จำเลยที่ ๓ ให้รับผิดไม่เกินทรัพย์มรดกส่วนที่ตกได้แก่ตน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ฎีกา
คดีประเด็นว่า (๑่) นายกุ่ยฮวงได้ออกเช็คพิพาทตามฟ้องแลกเงินสดไปจากโจทก์หรือไม่ (๒) จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ จะต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คพิพาทต่อโจทก์หรือไม่ และ (๓) เช็คฉบับลงวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๑๒ ขาดอายุความหรือไม่
ประเด็นข้อแรก ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้วฟังข้อเท็จจริงว่านายกุ่ยฮวงได้ออกเช็คพิพาท ๒๐ ฉบับไปแลกเงินสดมาจากโจทก์ เมื่อเช็คขึ้นเงินไม่ได้ นายกุ่ยฮวงหรือทายาทของนายกุ่ยฮวงก็ต้องรับผิด
ประเด็นข้อต่อมาวินิจฉัยว่า ห้างฯ จำเลยที่ ๑ ได้เชิดให้นายกุ่ยฮวงเป็นผู้มีอำนาจจัดกิจการต่าง ๆ ของจำเลยที่ ๑ และนายกุ่ยฮวงได้แสดงตนเองต่อบุคคลภายนอกว่าเป็นผู้มีอำนาจจัดกิจการงานต่าง ๆ ของจำเลยที่ ๑ เช็คพิพาท ๒๐ ฉบับ เป็นเช็คที่
นายกุ่ยฮวงได้สั่งจ่ายแลกเงินสดมาใช้ในกิจการของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ ส่วนนายกุ่ยฮวงซึ่งเป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิด แต่สอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการจึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ สำหรับจำเลยที่ ๓ ไม่ใช่ทายาทของนายกุ่ยฮวง แต่ได้เข้ามาเป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดในฐานะเป็นผู้รับโอนหุ้นของนายกุ่ยฮวง เมื่อห้างฯ จำเลยที่ ๑ ยังไม่เลิก โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิฟ้องร้องให้จำเลยที่ ๓ รับผิด ทั้งนี้ตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๐๙๕
ประเด็นข้อสุดท้าย ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้ว เชื่อว่านายกุ่ยฮวงเขียนเลข พ.ศ. ผิดไป ที่ถูกนั้นเป็น พ.ศ. ๒๕๑๕ คดีโจทก์สำหรับเช็คฉบับนี้จึงไม่ขาดอายุความ
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๓ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share