แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เป็นเจ้าของที่ดินอยู่แปลงหนึ่งแล้ว ต่อมาได้รับโอนที่ดินมาอีกแปลงหนึ่งแม้ที่ดินที่ได้รับโอนมาใหม่จะมีเขตติดต่อกับที่ดินแปลงเดิมก็ย่อมต้องถือว่า เป็นที่ดินคนละแปลง ฉะนั้นเมื่อโอนขายที่ดินแปลงที่ได้รับโอนมาภายหลังให้แก่คนอื่นไปทั้งแปลง ดังนี้จะถือว่าเป็นที่ดินแบ่งแยกหรือแบ่งโอนจากที่ดินแปลงเดิมของเจ้าของตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 1350 ไม่ได้ เพราะเป็นที่ดินต่างแปลงกันมาแต่เดิมเมื่อปรากฎว่าที่ดินแปลงหลังถูกล้อมไม่มีทางออกก็จะนำมาตรา 1350 มาใช้บังคับไม่ได้ ต้องใช้มาตรา 1349 บังคับ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าที่ดินของโจทก์ตกอยู่ในที่ล้อมไม่มีทางออกเดิมจำเลยเคยยอมให้ผ่านที่ดินของจำเลยออกสู่ทางสาธารณะจน ตกอยู่ในภาระจำยอม บัดนี้จำเลยปิดเสียจึงขอให้เปิด
ศาลชั้นต้นฟังว่าทางเดินไม่ใช่ทางภาระจำยอมและไม่ใช่ทางจำเป็น จึงยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ทางพิพาทถูกปิดมิให้ใช้มา ๑๐ ปีแล้ว จึงไม่ตกอยู่ในภาระจำยอม แต่ปรากฎว่าที่ดินของโจทก์ถูกล้อมรอบโดยที่ดินของผู้อื่นไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะนางเถียะเจ้าของที่ดินของโจทก์แต่เดิมเคยใช้ทางพิพาทนี้เข้าออกสู่ทางสาธารณะ ต่อมานางเถียะจำนองที่ดินแก่นางโถแล้วหลุดเป็นสิทธิแด่นางโถ แล้วนางโถขายแก่โจทก์นางโถมีที่ดินอีก ๑ แปลงต่างหากอยู่ทางเหนือติดต่อกับที่ดินที่ขายให้โจทก์นี้
ฉะนั้นจะถือว่า ที่ดินของโจทก์เป็นที่ดินแบ่งแยกหรือแบ่งโอนจากนางโถไม่ได้ เพราะเป็นที่ดินต่างแปลงกันมาแต่เดิม โจทก์ไม่มีสิทธิจะเรียกร้องเอาทางเดินจากนางโถได้ ฉะนั้นโจทก์จึงมีความจำเป็นที่จะต้องขอเดินตามเส้นทางพิพาท โดยอาศัยสิทธิตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา ๑๓๔๙
จึงพิพากษากลับว่า โจทก์มีสิทธิทำทางผ่านที่ของจำเลยตามแนวเส้นสีแดงในแผนที่สังเขปท้ายฟ้องได้ แต่ไม่ตัดสิทธิของจำเลยที่จะว่ากล่าวในเรื่องค่าทดแทนตามมาตรา ๑๓๔๙ วรรคท้าย