คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1033/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อศาลฟังว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้ทรงเช็คและเป็นผู้เสียหายแล้ว ใครจะเป็นผู้รับเช็คจากจำเลย ก็ไม่ใช่ข้อสารสำคัญของคดี แม้ฟ้องโจทก์จะบรรยายว่าเช็ครายพิพาทจำเลยออกให้แก่โจทก์ร่วม แต่ความจริงจำเลยออกให้แก่คนอื่น ก็ยังถือไม่ได้ว่าข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้อง อันเป็นข้อสารสำคัญแห่งคดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องจำเลยว่าสมคบกันออกเช็คของธนาคารแห่งกรุงศรีอยุธยาจำกัด สาขาวงเวียนใหญ่ สั่งจ่ายเงิน 100,000 บาท ให้แก่นางสาวสนธยาต่อมานางสาวสนธยาได้นำเช็คนั้นเข้าบัญชีของธนาคารออมสิน ๆ ได้นำเช็คไปขึ้นเงินที่ธนาคารแห่งกรุงศรีอยุธยา จำกัด สาขาวงเวียนใหญ่แต่ธนาคารปฏิเสธไม่จ่ายเงินตามเช็คนั้น เพราะได้ปิดบัญชีผู้สั่งจ่ายแล้วโดยจำเลยออกเช็คด้วยเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้นขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3

จำเลยให้การปฏิเสธ

นางสาวสนธยายื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า จำเลยออกเช็ครายพิพาทให้แก่นายไถง หาได้ออกเช็คให้แก่นางสาวสนธยาไม่ เมื่อนางสาวสนธยาไม่ใช่ผู้เสียหาย จะร้องทุกข์ขอให้ดำเนินคดีกับจำเลยไม่ได้ พนักงานอัยการจึงไม่มีอำนาจฟ้องรวมตลอดถึงตัวนางสาวสนธยาด้วย จึงพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ โดยไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยประเด็นข้ออื่น

อัยการโจทก์และนางสาวสนธยาโจทก์ร่วมอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในคดีนี้ เช็ครายพิพาทจะออกให้แก่โจทก์ร่วมตามที่โจทก์นำสืบ หรือออกให้แก่นายไถงตามที่จำเลยนำสืบหรือไม่ก็ตาม เมื่อปรากฏว่าเช็คนี้ในขณะเกิดเหตุโจทก์ร่วมเป็นผู้ทรง ทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้ทรงที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด จำเลยผู้สั่งจ่ายก็จำเป็นต้องรับผิดต่อโจทก์ร่วมตามมูลหนี้ที่ปรากฏตามเช็คนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 914, 959 ปรากฏว่าธนาคารไม่จ่ายเงินให้โจทก์ร่วมตามคำสั่งของจำเลยผู้สั่งจ่าย โจทก์ร่วมจึงเป็นผู้เสียหายในฐานะผู้ทรงซึ่งเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4)จึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

จำเลยฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายืน

ศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่แล้วเชื่อว่าจำเลยไม่ได้ยืมเงินจากโจทก์ร่วมแล้วจ่ายให้โจทก์ร่วมดังที่โจทก์นำสืบ ข้อเท็จจริงกลับได้ความว่า จำเลยได้ออกเช็คให้แก่นายไถงด้วยมูลหนี้อย่างอื่นจึงไม่มีมูลหนี้ของเช็คตามที่โจทก์อ้าง คดีของโจทก์ควรได้ชื่อว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องอันเป็นสารสำคัญ และวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยไม่มีความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง พิพากษายกฟ้องโจทก์

อัยการโจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ใครเป็นผู้รับเช็คจากจำเลยไม่ใช่ข้อสารสำคัญของคดีแม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่า เช็ครายพิพาทจำเลยออกให้โจทก์ร่วมแต่ความจริงจำเลยออกให้แก่นายไถง ก็ยังถือไม่ได้ว่าข้อเท็จจริงแตกต่างกันอันเป็นสารสำคัญของคดี แม้ฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยนำสืบ จำเลยก็ไม่พ้นผิด พิพากษากลับให้ลงโทษจำเลยตามฟ้อง

จำเลยฎีกา

ข้อที่จำเลยฎีกาว่า ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาต่างกับฟ้องนั้นศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อได้ความว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้ทรงเช็คและเป็นผู้เสียหายดังที่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้ครั้งก่อนแล้วว่าใครเป็นผู้รับเช็คจากจำเลย จึงไม่ใช่ข้อสารสำคัญของคดีแม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าเช็ครายพิพาทออกให้โจทก์ร่วม แต่ความจริงจำเลยออกให้นายไถง ก็ยังถือไม่ได้ว่าข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้องอันเป็นข้อสารสำคัญแห่งคดี ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ศาลฎีกาพิพากษายืน

Share