คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10323/2554

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ขอหมายเรียกผู้เสียหายมาศาลในวันนัดสืบพยานครั้งแรก ผู้เสียหายมาศาลในวันดังกล่าวแล้ว แต่ไม่อาจสืบพยานได้เพราะโจทก์นำพยานปาก ส. เข้าเบิกความต่อศาลยังไม่แล้วเสร็จและขออนุญาตเลื่อนคดีไปสืบพยานปากผู้เสียหายในวันอื่น ศาลจึงให้ผู้เสียหายลงชื่อทราบนัดไว้ แต่หลังจากนั้นผู้เสียหายก็ไม่มาศาลอีกจนถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์แถลงเพียงว่าโจทก์ได้ติดตามและสอบถามเจ้าพนักงานตำรวจทราบว่าผู้เสียหายอยู่กับมารดาซึ่งมีอาชีพรับจ้าง มีที่อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง จึงไม่ทราบว่าผู้เสียหายอยู่ที่ใด โดยไม่ปรากฏหลักฐานชัดแจ้งว่า ไม่สามารถติดตามตัวผู้เสียหายมาศาลได้อย่างแน่นอน แม้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์ก็เป็นดุลพินิจของศาลชั้นต้นเนื่องจากเห็นว่าโจทก์ขอเลื่อนคดีมาหลายครั้ง ไม่แน่ว่าจะสามารถติดตามผู้เสียหายมาสืบได้หรือไม่เท่านั้น กรณียังถือไม่ได้ว่ามีเหตุจำเป็นอย่างยิ่งที่จะให้ศาลรับฟังสื่อภาพและเสียงคำให้การผู้เสียหายเสมือนหนึ่งเป็นคำเบิกความของผู้เสียหายในชั้นพิจารณาของศาลได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 172 ตรี วรรคสี่ คำให้การของผู้เสียหายและม้วนวีดิทัศน์การถามปากคำผู้เสียหายในชั้นสอบสวนจึงเป็นเพียงพยานบอกเล่า แม้ตามมาตรา 226/3 มีข้อยกเว้นให้ศาลรับฟังพยานบอกเล่าได้ แต่ศาลต้องรับฟังด้วยความระมัดระวังและไม่ควรเชื่อพยานหลักฐานนั้นโดยลำพังเพื่อลงโทษจำเลย เว้นแต่จะมีเหตุผลหนักแน่น มีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดีหรือมีพยานหลักฐานประกอบอื่นมาสนับสนุนตามมาตรา 227/1 วรรคหนึ่ง แต่พยานหลักฐานโจทก์อื่นๆ ที่จะรับฟังประกอบวีดิทัศน์การถามปากคำผู้เสียหายล้วนแต่เป็นพยานบอกเล่า ซึ่งข้อเท็จจริงแวดล้อมของพยานบอกเล่าไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ความจริงว่า จำเลยเป็นคนร้ายกระทำชำเราผู้เสียหายได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 277, 317
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสอง, 317 วรรคสาม การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานกระทำชำเราหญิง (ที่ถูก เด็กหญิง) อายุยังไม่เกินสิบสามปี จำคุก 16 ปี ฐานพรากเด็กไปเพื่อการอนาจาร จำคุก 10 ปี รวมจำคุก 26 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า มีคนร้ายพาเด็กหญิงอำพา ผู้เสียหายไปกระทำชำเรา แพทย์ตรวจร่างกายของผู้เสียหายพบเมือกขาวและอสุจิในช่องคลอด ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายมีอายุ12 ปีเศษ และอยู่ในความปกครองของนางสมใจ มารดา ผู้เสียหายมีสติปัญญาอ่อนปานกลาง
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ไม่ได้ตัวผู้เสียหายมาเบิกความต่อศาลคงมีคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหาย ม้วนวีดิทัศน์การถามปากคำผู้เสียหาย ที่พนักงานสอบสวนบันทึกภาพและเสียงไว้ และร่วมกับพนักงานอัยการ และนักสังคมสงเคราะห์ สอบปากคำผู้เสียหายโดยมีนางสมใจมารดาผู้เสียหายนั่งฟังการสอบสวนอยู่ด้วยเป็นพยานหลักฐาน ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 ตรี วรรคสี่ ให้ศาลรับฟังสื่อภาพและเสียงคำให้การของพยานที่เป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปีเสมือนหนึ่งเป็นคำเบิกความของพยานในชั้นพิจารณาของศาลได้ต่อเมื่อมีเหตุจำเป็นอย่างยิ่งที่ไม่ได้ตัวพยานมาเบิกความต่อศาล ตามทางพิจารณาได้ความว่า โจทก์ขอหมายเรียกผู้เสียหายมาศาลในวันนัดสืบพยานครั้งแรก ผลปรากฏว่าผู้เสียหายมาศาลในวันดังกล่าวแล้ว แต่ไม่อาจสืบพยานได้เพราะโจทก์นำพยานปากนางสมใจเข้าเบิกความต่อศาลยังไม่แล้วเสร็จและขออนุญาตเลื่อนคดีไปสืบพยานปากผู้เสียหายในวันอื่น ศาลจึงให้ผู้เสียหายลงชื่อทราบนัดไว้แล้ว แต่หลังจากนั้นผู้เสียหายก็ไม่มาศาลอีกจนถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์แถลงเพียงว่าโจทก์ได้ติดตามและสอบถามเจ้าพนักงานตำรวจทราบว่าผู้เสียหายอยู่กับมารดาซึ่งมีอาชีพรับจ้าง มีที่อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง จึงไม่ทราบว่าผู้เสียหายอยู่ที่ใด โดยไม่ปรากฏหลักฐานชัดแจ้งว่าไม่สามารถติดตามตัวผู้เสียหายมาศาลได้อย่างแน่นอน แม้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์ก็เป็นดุลพินิจของศาลชั้นต้นเนื่องจากเห็นว่าโจทก์ขอเลื่อนคดีมาหลายครั้ง ไม่แน่ว่าโจทก์จะสามารถติดตามผู้เสียหายมาสืบได้หรือไม่เท่านั้น กรณียังถือไม่ได้ว่ามีเหตุจำเป็นอย่างยิ่งที่จะให้ศาลรับฟังสื่อภาพและเสียงคำให้การผู้เสียหายเสมือนหนึ่งเป็นคำเบิกความของผู้เสียหายในชั้นพิจารณาของศาลได้ คำให้การในชั้นสอบสวนและม้วนวีดีทัศน์ การถามปากคำผู้เสียหายจึงเป็นเพียงพยานบอกเล่าแม้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/3 มีข้อยกเว้นให้ศาลรับฟังพยานบอกเล่าได้ แต่ศาลจะต้องรับฟังพยานบอกเล่าด้วยความระมัดระวัง และไม่ควรเชื่อพยานหลักฐานโดยลำพังเพื่อลงโทษจำเลย เว้นแต่จะมีเหตุผลอันหนักแน่น มีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดีหรือมีพยานหลักฐานประกอบอื่นมาสนับสนุนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227/1 วรรคหนึ่ง แต่ตามคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกหญิงภัทรียา ได้ความว่าผู้เสียหายไปพบพยานแจ้งว่าวันเกิดเหตุเวลากลางวันจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายที่ตึกร้างใกล้บ้านพักของผู้เสียหายและจำเลยพยานจึงส่งผู้เสียหายให้แพทย์โรงพยาบาลหาดใหญ่ตรวจร่างกาย ต่อมานางสมใจมาแจ้งความต่อพยานว่าผู้เสียหายได้หายออกจากบ้าน พยานจึงแจ้งเรื่องที่ผู้เสียหายแจ้งความต่อพยานว่าถูกจำเลยกระทำชำเราให้นางสมใจทราบ นางสมใจได้พูดคุยกับผู้เสียหายแล้วร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยแล้วมีการนำตัวผู้เสียหายไปชี้ที่เกิดเหตุ จากนั้นนางสมใจและผู้เสียหายพาเจ้าพนักงานตำรวจไปจับกุมจำเลยที่บ้านพัก จนกระทั่งพยานได้สอบปากคำผู้เสียหายซึ่งเป็นเวลาภายหลังวันเกิดเหตุถึง 7 วัน ทำให้น่าสงสัยว่าอาจจะมีการชี้แนะ เสี้ยมสอนให้ผู้เสียหายให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวนได้ทั้งนี้เนื่องจากผู้เสียหายมีสติปัญญาอยู่ในระดับปัญญาอ่อน และในชั้นสอบสวนที่ผู้เสียหายให้การว่า วันเกิดเหตุหลังจากเกิดเหตุแล้วผู้เสียหายกลับบ้านเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พี่สาวของผู้เสียหายฟังแล้วผู้เสียหายจึงไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน แต่บันทึกคำให้การของนางสาวสมจิต พี่สาวของผู้เสียหายได้ความเพียงว่าผู้เสียหายเล่าให้ฟังว่า จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหาย วันเกิดเหตุหลังจากเกิดเหตุไม่ได้พบผู้เสียหาย แตกต่างจากที่ผู้เสียหายให้การไว้ดังกล่าว ส่วนนางสมใจมารดาผู้เสียหายเบิกความว่า วันที่นางสมใจไปแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจว่าผู้เสียหายหายออกไปจากบ้านได้พบผู้เสียหาย ผู้เสียหายไม่ยอมเล่าเรื่องให้ฟัง สำหรับคำเบิกความของนางเจียมคงได้ความเพียงว่าช่วงก่อนวันเกิดเหตุ ผู้เสียหายเคยมาเล่าให้ฟังว่าถูกจำเลยกระทำชำเรา 2 ครั้ง แต่นางเจียมก็เบิกความว่า ไม่แน่ใจว่าผู้เสียหายจะพูดความจริงหรือไม่และไม่ได้เล่าเรื่องให้ผู้ใดฟัง เมื่อพยานหลักฐานโจทก์อื่น ๆ ที่จะรับฟังประกอบวีดิโอทัศน์การถามปากคำผู้เสียหาย ล้วนแต่เป็นพยานบอกเล่าซึ่งข้อเท็จจริงแวดล้อมของพยานบอกเล่าไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ความจริงว่าจำเลยเป็นคนร้ายกระทำชำเราผู้เสียหาย ประกอบกับจำเลยให้การปฏิเสธมาโดยตลอด พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่เพียงพอที่จะรับฟังว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสอง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยมา ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share