คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6505/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องในข้อสาระสำคัญของการกระทำความผิดว่าจำเลยกระทำโดยประมาทด้วยการขับรถด้วยความเร็วสูงเกินสมควรและไม่ชะลอความเร็วเมื่อถึงสี่แยก แต่ทางพิจารณากลับได้ความว่าจำเลยจอดรถอยู่ที่สี่แยกและเพิ่งขับรถเคลื่อนที่เมื่อได้รับสัญญาณจราจรไฟสีเขียวแล้วชนรถจักรยานยนต์ของโจทก์ร่วมที่ 1 เพราะมองไม่เห็นมิใช่เพราะการขับรถเร็วหรือไม่ชะลอความเร็วตามฟ้อง ดังนี้ ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาจึงแตกต่างกับข้อเท็จจริงในฟ้อง ทั้งเป็นข้อสาระสำคัญ ศาลต้องยกฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสอง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (4), 70, 148, 157
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายอภิมุขและนายบุญส่ง ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตเฉพาะข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 โดยให้เรียกนายอภิมุขว่า โจทก์ร่วมที่ 1 และเรียกนายบุญส่งว่า โจทก์ร่วมที่ 2
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ร่วมทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (4), 157 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 อันเป็นกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปี ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังยุติตามทางนำสืบที่โจทก์ โจทก์ร่วมทั้งสองและจำเลยไม่ฎีกาโต้แย้งว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง จำเลยขับรถบรรทุกสิบล้อหมายเลขทะเบียน 91-5662 กรุงเทพมหานคร มาหยุดที่สี่แยกเพื่อรอสัญญาณจราจรไฟสีเขียว เมื่อได้รับสัญญาณจราจรไฟสีเขียวจำเลยขับรถเคลื่อนออกไปเกิดชนกับรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน กรุงเทพมหานคร 3ห-1074 ที่โจทก์ร่วมที่ 1 เป็นคนขับ และโจทก์ร่วมที่ 2 นั่งซ้อนท้าย ทำให้รถจักรยานยนต์ล้มได้รับความเสียหาย โจทก์ร่วมทั้งสองได้รับอันตรายสาหัส คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยขับรถด้วยความเร็วสูงเกินสมควรจนไม่สามารถหยุดรถหรือชะลอความเร็วของรถให้ช้าลงพอที่จะขับหลบหลีกไม่ชนรถคันอื่นหรือสิ่งอื่นใดที่กีดขวางอยู่ข้างหน้าได้ทัน จำเลยควรใช้ความระมัดระวังในการขับรถคันดังกล่าวข้ามสะพานและจะผ่านสี่แยกซึ่งเป็นทางร่วมทางแยกข้างหน้าด้วยการชะลอความเร็วของรถให้ช้าลงและระมัดระวังไม่ให้รถคันที่จำเลยขับเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์คันที่โจทก์ร่วมที่ 1 ขับอยู่ข้างหน้า แต่จำเลยหาได้ใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอไม่ จำเลยยังคงขับรถด้วยความเร็วสูงเกินสมควรโดยไม่ชะลอความเร็วให้ช้าลงและขับเฉี่ยวชนท้ายรถจักรยานยนต์ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องในข้อสาระสำคัญของการกระทำความผิดว่า จำเลยกระทำประมาทด้วยการขับรถด้วยความเร็วสูงเกินสมควรและไม่ชะลอความเร็วเมื่อถึงสี่แยก แต่ทางพิจารณากลับได้ความว่าจำเลยจอดรถอยู่ที่สี่แยกและเพิ่งขับรถเคลื่อนที่เมื่อได้รับสัญญาณจราจรไฟสีเขียวแล้วชนรถจักรยานยนต์ของโจทก์ร่วมที่ 1 เพราะมองไม่เห็นมิใช่เพราะการขับรถเร็วหรือไม่ชะลอความเร็วข้อสาระสำคัญ ศาลต้องยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบมาตรา 215 กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยอีก
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share