แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ฟ้องโจทก์จะบรรยายเพียงว่าจำเลยที่ 3 รับประกันภัยรถยนต์ไว้จากผู้มีชื่อ แต่คำฟ้องโจทก์เป็นที่เข้าใจถึงนิติสัมพันธ์ระหว่างจำเลยที่ 1 ผู้ขับรถยนต์กับจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยให้ปรากฏแล้ว อีกทั้งจำเลยที่ 3 ให้การยอมรับว่า จำเลยที่ 3 รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวไว้จากจำเลยที่ 2 แสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 3 เข้าใจถึงสาระสำคัญแห่งคำฟ้องที่จำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยแล้ว จึงเป็นคำฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 67,437 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 65,000 บาท นับถัดจากฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 3 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันชำระเงิน 67,437 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 65,000 บาท นับแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2552 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 3,000 บาท ยกฟ้องจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 3 ด้วย ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตลอดจนค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน บง 111 สตูล ไว้จากนางวนิดา มีระยะเวลาคุ้มครอง 1 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2551 ถึงวันที่ 17 ตุลาคม 2552 เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2551 เวลาประมาณ 21 นาฬิกา จ่าสิบตำรวจสุภัตร ขับรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้ไปตามถนนสายบ้านปลักมาลัย-บ้านแลหลา จากทางด้านสายละงู-ทุ่งหว้า มุ่งหน้าไปทางบ้านแลหลา ถนนดังกล่าวแบ่งช่องเดินรถออกเป็น 2 ช่อง ให้รถแล่นสวนกัน จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 1588 สตูล สวนทาง เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุ บริเวณตำบลกำแพง อำเภอละงู จังหวัดสตูล รถทั้งสองคันเกิดเหตุเฉี่ยวชนกันได้รับความเสียหาย โจทก์ซ่อมแซมรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยเสร็จเรียบร้อยแล้วเสียค่าซ่อมเป็นเงิน 65,000 บาท สำหรับจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ยินยอมให้จำเลยที่ 1นำรถยนต์ไปใช้ เหตุรถชนกันเกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่อุทธรณ์ ข้อเท็จจริงสำหรับจำเลยที่ 1 จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์ไม่อุทธรณ์ คดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คำฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 ขาดสาระสำคัญอันเป็นประเด็นแห่งคดีที่จะทำให้จำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ โจทก์บรรยายคำฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์หมายเลขทะเบียน บง 1588 สตูล ซึ่งเดิมเป็นหมายเลขทะเบียน ปต 5548 กรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 3 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวไว้จากผู้มีชื่อ โดยต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน อันเกิดจากการใช้รถยนต์ซึ่งผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอก โดยจำเลยที่ 3 จะถือว่าบุคคลใดที่ขับรถยนต์โดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยเสมือนหนึ่งเป็นผู้เอาประกันภัย จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ 2 ขับรถไปในทางการที่จ้างหรือตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมาย สั่งการ วานใช้จากจำเลยที่ 2 จนเกิดเหตุคดีนี้ จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้รับประกันภัย ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องเพียงว่าจำเลยที่ 3 รับประกันภัยรถยนต์ไว้จากผู้มีชื่อโดยไม่ได้ระบุชื่อผู้เอาประกันภัย แต่คำฟ้องโจทก์ดังกล่าวเป็นที่เข้าใจถึงนิติสัมพันธ์ระหว่างจำเลยที่ 1 ผู้ขับรถยนต์กับจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยให้ปรากฏแล้ว อีกทั้งจำเลยที่ 3 ก็ให้การยอมรับว่า จำเลยที่ 3 รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวไว้จากจำเลยที่ 2 ดังนี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 3 เข้าใจถึงสาระสำคัญแห่งคำฟ้องโจทก์ที่จำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยแล้ว จึงเป็นคำฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับจำเลยที่ 3 ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยที่ 3 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 6,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์