คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10272/2553

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นให้สืบพยานผู้เสียหาย และ ว. ไว้ก่อนในคดีหมายเลขแดงที่ 895/2546 ของศาลชั้นต้นที่พวกของจำเลยซึ่งร่วมกระทำความผิดกับจำเลยในคดีนี้ถูกฟ้องเป็นจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 คดีนี้และคดีดังกล่าวจึงเป็นคดีเดียวกัน ศาลจึงรับฟังคำเบิกความของผู้เสียหาย และ ว. ในการพิจารณาคดีนี้ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 237 ทวิ วรรคห้า

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91, 289, 295, 309, 310, 364, 365
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 ประกอบด้วยมาตรา 364, 83 ลงโทษจำคุก 2 ปี กระทงหนึ่ง มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 309 วรรคสอง, 310 วรรคแรก, 83 ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสอง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด (ที่ถูก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90) ลงโทษจำคุก 3 ปี กระทงหนึ่ง มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 จำคุก 6 เดือน กระทงหนึ่ง และมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 ลงโทษประหารชีวิตอีกกระทงหนึ่ง (ที่ถูก การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ) รวมทุกกระทงแล้ว คงลงโทษประหารชีวิต ข้อนำสืบของจำเลยเป็นการให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม (ที่ถูกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (1)) คงจำคุกตลอดชีวิต
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ในความผิดฐานร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดตามฟ้อง จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสอง ประกอบมาตรา 80, 83ฐานร่วมกันพยายามข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ โดยมีอาวุธหรือโดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป เป็นกรรมเดียวกับความผิดตามมาตรา 310 วรรคหนึ่ง ลงโทษตามมาตรา 309 วรรคสอง ประกอบมาตรา 80, 83 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน เมื่อรวมกับโทษจำคุก 6 เดือน และโทษจำคุกตลอดชีวิตตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นอีกสองกระทง เป็นจำคุกตลอดชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) ให้ยกฟ้องโจทก์ฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364, 365 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำเบิกความของผู้เสียหายและนางวาสนาซึ่งศาลชั้นต้นให้สืบพยานไว้ก่อนในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 895/2546 ของศาลชั้นต้น ซึ่งพวกของจำเลยคือนายเอกชัยบุตรจำเลย นายสมศักดิ์หลานเขยจำเลย นายพิชิตพล และนายพัฒนพงศ์ซึ่งร่วมกระทำความผิดกับจำเลยในคดีนี้ถูกฟ้องเป็นจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ในคดีดังกล่าว คดีนี้และคดีดังกล่าวจึงเป็นคดีเดียวกัน แต่ที่พนักงานอัยการต้องแยกฟ้องเป็น 2 คดี เนื่องจากจับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ได้ก่อน ส่วนจำเลยเพิ่งจับได้ในภายหลังเพราะจำเลยหลบหนี ดังนั้น ศาลจึงรับฟังคำเบิกความของผู้เสียหายและนางวาสนาที่ได้เบิกความไว้ในคดีดังกล่าว ในการพิจารณาคดีนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 237 ทวิ วรรคห้า
พิพากษายืน

Share