คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7052/2552

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ศาลจะสั่งริบทรัพย์สินที่จำเลยทั้งสองมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดต่อเมื่อมีการกระทำความผิดนั้น และโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดดังกล่าวด้วย เมื่อคดีนี้โจทก์มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานเสพกัญชา โจทก์จะขอให้ริบอุปกรณ์การเสพยาเสพติดที่จำเลยทั้งสองมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดฐานเสพกัญชาหาได้ไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ริบของกลางดังกล่าวจึงเป็นการมิชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 26, 57, 66, 67 76, 91, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91 ริบอุปกรณ์การเสพยาเสพติดให้โทษของกลาง และคืนธนบัตรของกลางที่ใช้ล่อซื้อแก่เจ้าของและบวกโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ในคดีดังกล่าวเข้ากับโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีนี้
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ แต่ในระหว่างสืบพยานโจทก์ จำเลยที่ 1 ขอถอนคำให้การเดิม และให้การใหม่เป็นรับสารภาพในข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีนโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ให้การปฏิเสธในข้อหาร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนและร่วมกันมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 57, 66 วรรคหนึ่ง, 91 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3, 83 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท (ที่ถูก หลายกรรมต่างกัน) ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 4 ปี ฐานเสพเมทแอมเฟตามีนจำคุก 6 เดือน รวมโทษจำคุก 4 ปี 6 เดือน คำให้การในชั้นจักกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี 12 เดือน ริบอุปกรณ์การเสพยาเสพติดให้โทษของกลางและคืนธนบัตรของกลางที่ใช้ล่อซื้อแก่เจ้าของ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 57, 66 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่), 91 (ที่แก้ไขใหม่) จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 66 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 4 ปี ส่วนกำหนดโทษจำเลยที่ 1 และนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติเบื้องต้นว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 1 ได้พร้อมยึดเมทแอมเฟตามีนจำนวน 2 เม็ด และธนบัตรฉบับละ 100 บาท จำนวน 2 ฉบับ เป็นของกลาง ต่อมาวันที่ 13 เมษายน 2544 เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 2 ได้ คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 หรือไม่ โดยจำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุแต่อย่างใด นั้นเห็นว่า โจทก์มีสิบตำรวจโทสำราญเบิกความว่า เมื่อพยานจอดรถจักรยานยนต์ที่ริมรั้วเพิงพักแล้วสายลับเดินเข้าไปทางประตูรั้วไปยังเพิงพัก พยานมองผ่านช่องของรั้วไม้ไผ่สามารถมองเห็นชายคนหนึ่งนอนอยู่ในเปลผ้าใบที่อยู่ด้านล่างของเพิงพัก ชายดังกล่าวอยู่ห่างจากพยานเพียง 3 เมตร ก็คือจำเลยที่ 1 พยานได้ยินจำเลยที่ 1 พูดกับสายลับว่าจะเอากี่เม็ด ราคาเม็ดละ 70 บาท สายลับพูดว่าซื้อ 2 เม็ด โดยขณะนั้นจำเลยที่ 1 ยังนอนอยู่ในเปล หลังจากตกลงกันแล้วจำเลยที่ 1 ลุกขึ้นจากเปลตะโกนเรียกว่า ศักดิ์ ศักดิ์ ให้นำเมทแอมเฟตามีนมาขาย 2 เม็ด สายลับมอบเงินให้แก่จำเลยที่ 1 แล้วมีจำเลยที่ 2 เดินลงมาจากเพิงพักทางบันไดแล้วส่งมอบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 2 เม็ด ให้แก่สายลับ กับมีจ่าสิบตำรวจเผชิญเบิกความว่า เมื่อสิบตำรวจโทสำราญพร้อมสายลับเดินทางกลับมาจากล่อซื้อนำเมทแอมเฟตามีนจำนวน 2 เม็ด ที่ล่อซื้อได้ให้พยานแล้วพยานได้ใช้วิทยุสื่อสารแจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจที่ซุ่มทั้งหมดเข้าจับกุมที่เพิงพักพบจำเลยที่ 1 นั่งอยู่บนเปลแขวนบริเวณใต้ถุนเพิงพัก และเห็นจำเลยที่ 2 นอนอยู่บนเพิงพัก เมื่อพยานควบคุมตัวจำเลยที่ 1 แล้ว ได้เรียกให้จำเลยที่ 2 ลงมาจากเพิงพัก จำเลยที่ 2 กระโดดลงจากเพิงพักแล้ววิ่งหลบหนีไป พยานได้ตะโกนให้เจ้าพนักงานตำรวจอื่นติดตามไปแต่ไม่ทัน โดยโจทก์มีจ่าสิบตำรวจสมบูรณ์เจ้าพนักงานตำรวจผู้ร่วมจับกุมเบิกความยืนยันว่า ขณะที่พยานเข้าตรวจค้นตัวจำเลยที่ 1 นั้น จำเลยที่ 2 ได้วิ่งหลบหนีไปจึงจับตัวไม่ได้ เห็นว่า พยานโจทก์ดังกล่าวเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติราชการไปตามหน้าที่ โดยเฉพาะสิบตำรวจโทสำราญก็ไม่เคยรู้จักจำเลยที่ 2 หรือเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 2 มาก่อน ไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าพยานจะสมคบกันมาเบิกความกลั่นแกล้งจำเลยที่ 2 ให้ต้องรับโทษ ทั้งพยานโจทก์ดังกล่าวก็เบิกความได้สอดคล้องต้องกันในข้อสาระสำคัญและมีเหตุผลติดต่อเชื่อมโยงกันมาเป็นลำดับ มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ นอกจากนี้ตามบันทึกการจับกุมจำเลยที่ 1 ที่ทำขึ้นในวันเกิดเหตุก็มีระบุเหตุจำเลยที่ 2 วิ่งหลบหนีการจับกุมไว้แล้ว และเจ้าพนักงานตำรวจก็สามารถติดตามจับกุมตัวจำเลยที่ 2 ได้เพียง 3 วัน หลังเกิดเหตุ จึงไม่เป็นข้อพิรุธแต่ประการใด แม้เพิงพักที่เกิดเหตุจะมีรั้วรอบขอบชิดตามที่จำเลยที่ 2 ฎีกามาก็ตาม แต่จำเลยที่ 2 ย่อมต้องรู้ทางหนีทีไล่ดีกว่าเจ้าพนักงานตำรวจ จึงสามารถหลบหลีกการจับกุมของเจ้าพนักงานตำรวจไปได้ ที่จำเลยที่ 2 นำสืบว่า ไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุนั้นก็ขัดกับคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 ตามเอกสารหมาย จ.15 ซึ่งจำเลยที่ 2 ให้การหลังจากเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมตัวจำเลยที่ 2 แล้ว 2 วัน จำเลยที่ 2 ก็ให้การเกี่ยวพันว่า วันเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ได้ไปที่เพิงพักที่เกิดเหตุจริงเพียงแต่บ่ายเบี่ยงว่าไม่เกี่ยวข้องกับการที่เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 1 เท่านั้นซึ่งง่ายต่อการกล่าวอ้าง พยานหลักฐานจำเลยที่ 2 ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่โจทก์มีคำขอให้ริบอุปกรณ์การเสพยาเสพติดให้โทษของกลางโดยระบุในคำฟ้องว่า เป็นอุปกรณ์ที่จำเลยทั้งสองมีไว้เพื่อใช้เสพกัญชา และศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ริบของกลางดังกล่าวด้วยนั้น เห็นว่า ศาลจะสั่งริบทรัพย์สินที่จำเลยทั้งสองมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดต่อเมื่อมีการกระทำความผิดนั้น และโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดดังกล่าวด้วย เมื่อคดีนี้โจทก์มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานเสพกัญชา โจทก์จะขอให้ริบอุปกรณ์การเสพยาเสพติดที่จำเลยทั้งสองมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดฐานเสพกัญชาหาได้ไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ริบของกลางดังกล่าวจึงเป็นการมิชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง”
พิพากษายืน แต่ไม่ริบอุปกรณ์การเสพยาเสพติดให้โทษของกลาง และให้คืนของกลางดังกล่าวแก่เจ้าของ

Share