คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1022/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เดิมศาลฎีกามีคำพิพากษาให้จำเลยในคดีทำการแบ่งมรดกให้ ก.9 ใน 21 ส่วน ต่อมาคู่ความได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความแบ่งทรัพย์มรดกกันใหม่ โดยให้ พ. ผู้มิได้ร่วมทำสัญญาประนีประนอมยอมความไม่มีสิทธิเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินดังกล่าว ต่อมาพ.ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดพ. ให้จำเลยที่ 3 บังคับคดีในทรัพย์มรดกพิพาทตามส่วนของตนที่ศาลฎีกาได้พิพากษาไว้เพื่อนำไปชำระหนี้ของ พ. ซึ่งจำเลยที่ 3 อธิบดีของกรมบังคับคดีจำเลยที่ 2 ได้มอบให้จำเลยที่ 4 เป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของพ.โดยมีจำเลยที่ 5 ทนายความของจำเลยที่ 3 เป็นผู้ช่วยเหลือไปนำยึดที่ดินพิพาทเพื่อรวบรวมทรัพย์สินของ พ. ชำระหนี้เช่นนี้เมื่อที่ดินเป็นทรัพย์มรดกซึ่งตกทอดแก่ทายาท และ พ. เป็นทายาทด้วยผู้หนึ่งต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่า พ. เป็นผู้มีสิทธิในที่พิพาทด้วย กรณีมีเหตุให้จำเลยดำเนินการตามที่เห็นสมควรเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวความ การที่จำเลยไปทำการยึดทรัพย์ส่วนที่โจทก์อ้างว่าเป็นของโจทก์จึงฟังไม่ได้ว่าเป็นการกระทำโดยจงใจให้โจทก์เสียหาย ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 จำเลยที่ 2 เป็นกรมในรัฐบาลสังกัดกระทรวงยุติธรรม มีจำเลยที่ 3 เป็นอธิบดี จำเลยที่ 4เป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 2และที่ 3 เดิมจำเลยที่ 1 ได้เป็นโจทก์ฟ้องนายเพิ่มเกียรติเก่งมานะ เป็นจำเลยในคดีล้มละลายต่อศาลจังหวัดสวรรคโลกในที่สุดศาลจังหวัดสวรรคโลกมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้นายเพิ่มเกียรติเป็นบุคคลล้มละลาย ตามสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ ล.2/2522 ของศาลจังหวัดสวรรคโลกจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 3 ได้แต่งตั้งให้จำเลยที่ 5 เป็นทนายความ หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ได้มอบให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 ยึดทรัพย์สินของโจทก์หลายครั้ง อันเป็นการจงใจทำละเมิดต่อโจทก์ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายหากโจทก์นำที่ดินดังกล่าวออกขายจะสามารถนำเงินไปหาประโยชน์ได้ไม่น้อยกว่าเดือนละ 209,862 บาท คิดถึงวันฟ้องเป็นเวลา 1 เดือนขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงินจำนวน 209,862 บาท และค่าเสียหายเดือนละ 209,862 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งห้าจะถอนการยึดทรัพย์ให้แก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยคนใดกระทำการเกินความจำเป็นในหน้าที่อย่างไร ทั้งไม่ได้แสดงโดยแจ้งชัดในคำฟ้องว่าโจทก์ได้รับความเสียหายอย่างไรในการที่ไม่สามารถแสวงหาประโยชน์ได้เป็นฟ้องเคลือบคลุม จำเลยที่ 1ไม่ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของโจทก์ทั้งไม่มีส่วนรู้เห็นในการกระทำของจำเลยอื่นจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2ถึงที่ 5 กระทำการไปตามอำนาจหน้าที่ที่ตนได้รับมอบหมาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ให้การว่า จำเลยที่ 4 ได้ทำการยึดทรัพย์ตามฟ้องซึ่งเป็นทรัพย์ที่นายเพิ่มเกียรติ ผู้ล้มละลายมีส่วนเป็นเจ้าของในฐานะทายาทของนายเก๋งโอ๋ว แซ่ตั้ง จำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจยึดเพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ได้การกระทำของจำเลยที่ 4 ไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์จำเลยที่ 3ไม่ได้มอบหมายให้จำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 5 ยึดทรัพย์สินของโจทก์แต่เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 4 ในฐานะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ และจำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นทนายความของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการไปตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายล้มละลาย หากโจทก์เห็นว่า จำเลยที่ 4และจำเลยที่ 5 ไม่มีสิทธิยึดทรัพย์สินดังกล่าวก็ชอบที่จะคัดค้านต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพื่อสอบสวนและมีคำสั่ง หากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สั่งไม่ให้ถอนการยึด โจทก์ก็มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลภายใน 14 วัน นับแต่วันที่ทราบคำสั่งนั้น การที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ก่อนที่จำเลยที่ 4 จะมีคำสั่งเกี่ยวกับทรัพย์ที่ยึดจึงเป็นการไม่ชอบจำเลยทั้งห้าจะถอนการยึดทรัพย์ได้ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบของกรรมการเจ้าหนี้แต่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่ากรรมการเจ้าหนี้ให้ความเห็นชอบในการถอนการยึดแล้วหรือไม่คำขอของโจทก์จึงไม่อาจบังคับได้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ไม่มีสิทธิขายทรัพย์สินที่ถูกยึดโดยไม่ได้รับความยินยอมจากนายเพิ่มเกียรติ ผู้ล้มละลายการยึดทรัพย์ในคดีนี้เป็นการยึดทรัพย์ส่วนของนายเพิ่มเกียรติ ผู้ล้มละลายอันอาจแบ่งให้แก่เจ้าหนี้ได้ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 5 ให้การว่า นายเพิ่มเกียรติ เก่งมานะ ผู้ล้มละลายได้ยื่นคำร้องต่อจำเลยที่ 2 อ้างว่า ตนเองมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งจากกองมรดกของนายเก๋งโอ๋ว แซ่ตั้ง ผู้เป็นบิดา ซึ่งพิพาทกันในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 102/2516 ของศาลจังหวัดสวรรคโลก ในคดีดังกล่าวศาลฎีกาพิพากษาให้แบ่งทรัพย์มรดกออกเป็น 21 ส่วนเท่า ๆ กัน ให้โจทก์ในคดีนั้น 9 ส่วน และให้บุตรของนายเก๋งโอ๋ว 6 คน คนละ 2 ส่วนนายเพิ่มเกียรติผู้ล้มละลายมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งมรดกดังกล่าวพอชำระหนี้ในคดีล้มละลายได้ ขอให้จำเลยที่ 2 ตั้งจำเลยที่ 4 เป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รวบรวมทรัพย์มรดกในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่102/2516 ของศาลจังหวัดสวรรคโลก เพื่อแบ่งให้แก่นายเพิ่มเกียรติผู้ล้มละลายตามส่วนที่มีสิทธิได้รับแล้วนำไปชำระหนี้ของนายเพิ่มเกียรติผู้ล้มละลายในคดีล้มละลาย จำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 3 ได้แต่งตั้งให้จำเลยที่ 5 เป็นทนายความทำการแทนนายเพิ่มเกียรติผู้ล้มละลาย จำเลยที่ 5 ได้รวบรวมรายการทรัพย์สินที่เป็นมรดกของนายเก๋งโอ๋วเสนอจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โดยสุจริตตามข้อเท็จจริงที่ได้รับจากนายเพิ่มเกียรติผู้ล้มละลาย ทรัพย์สินดังกล่าวเป็นมรดกของนายเก๋งโอ๋ว ที่นายเพิ่มเกียรติผู้ล้มละลายมีสิทธิได้รับ ไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนตัวของโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์ดังกล่าวและไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยที่ 5 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยคู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งว่า นายเก๋งโอ๋วแซ่ตั้ง กับนางกิ่งทอง เก่งมานะ สมรสกันเมื่อปี 2474 มีบุตรด้วยกัน 6 คน โจทก์กับนายเพิ่มเกียรติ เก่งมานะ เป็นบุตรของนายเก๋งโอ๋วกับนางกิ่งทอง นายเก๋งโอ๋วถึงแก่กรรมเมื่อปี2507 ยังมิได้แบ่งสินสมรสระหว่างนายเก๋งโอ๋วกับนางกิ่งทองและยังไม่ได้แบ่งทรัพย์มรดกให้แก่ทายาท ในปี 2515 นางกิ่งทองได้ฟ้องโจทก์กับนางสุวรรณา เก่งมานะ เด็กชายชาญชัย เก่งมานะและเด็กชายธงชัย เก่งมานะ เป็นจำเลยในคดีแพ่งต่อศาลจังหวัดสวรรคโลก ขอแบ่งสินสมรสและมรดกของนายเก๋งโอ๋ว ศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์กับพวกแบ่งทรัพย์สินให้นางกิ่งทอง 9 ใน 21 ส่วน ตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 102/2516 ของศาลจังหวัดสวรรคโลกต่อมาวันที่ 10 มกราคม 2520 นางกิ่งทองกับโจทก์ นางวรนุชเก่งมานะ นางวิไลวรรณ ณ ลำเลียง (เก่งมานะ) และนายเพิ่มยศเก่งมานะ ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความตกลงแบ่งทรัพย์มรดกกันใหม่โดยไม่บังคับตามคำพิพากษาฎีกาดังกล่าว ให้โจทก์กับนางกิ่งทองเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 11379 และ 12812 คนละครึ่ง ส่วนนายเพิ่มเกียรติไม่มีสิทธิเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของโจทก์อีกรายละเอียดปรากฏตามเอกสารหมาย จ.2 ต่อมานายเพิ่มเกียรติถูกศาลจังหวัดสวรรคโลกมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด จำเลยที่ 3มอบหมายให้จำเลยที่ 4 เป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของนายเพิ่มเกียรติ หลังจากนั้นนายเพิ่มเกียรติ ได้มีหนังสือถึงจำเลยที่ 3 ขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 102/2516 ของศาลจังหวัดสวรรคโลก เพื่อเอาทรัพย์มรดกของนายเก๋งโอ๋วส่วนของนายเพิ่มเกียรติไปชำระหนี้ในคดีล้มละลายปรากฏตามเอกสารหมาย ล.3 จำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นทนายความของจำเลยที่ 3 ได้นำจำเลยที่ 4 ยึดที่ดินพิพาทอันเป็นส่วนหนึ่งของมรดกของนายเก๋งโอ๋ว ที่โจทก์ฎีกาว่า นายเพิ่มเกียรติไม่ได้เป็นคู่ความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 102/2516 ของศาลจังหวัดสวรรคโลกคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีดังกล่าวก็หามีข้อความตอนใดระบุสิทธิของนายเพิ่มเกียรติว่ามีหรือได้รับทรัพย์สินจากโจทก์(จำเลยในคดีดังกล่าว) การที่นายเพิ่มเกียรติร้องขอให้จำเลยที่ 3ดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกา จำเลยที่ 3 ไม่ได้ตรวจสอบให้ได้ความเสียก่อน แต่จำเลยที่ 3 สั่งให้จำเลยที่ 4 เป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของนายเพิ่มเกียรติและจำเลยที่ 5 นำจำเลยที่ 4 ยึดที่ดินพิพาท เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์นั้น ได้ความจากคำเบิกความของจำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นทนายความของนายเพิ่มเกียรติและจำเลยที่ 3 ว่า จำเลยที่ 5 ได้พิจารณาคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีที่นางกิ่งทองฟ้องโจทก์กับพวกเป็นจำเลยและสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างนางกิ่งทองกับโจทก์นางวรนุชนางวิไลวรรณ และ นายเพิ่มยศ ดังกล่าวแล้วเห็นว่า แม้สัญญาประนีประนอมยอมความจะมีผลเป็นการลบล้างคำพิพากษาฎีกาแต่ก็ไม่ทำให้นายเพิ่มเกียรติเสียสิทธิในการที่จะรับส่วนแบ่งในทรัพย์มรดกตามผลแห่งคำพิพากษาฎีกาเพราะนายเพิ่มเกียรติไม่ได้เข้าร่วมทำสัญญาประนีประนอมยอมความด้วย จึงได้ให้นายเพิ่มเกียรติร้องขอต่อจำเลยที่ 3 ให้สั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รวบรวมทรัพย์สินของนายเพิ่มเกียรติเพื่อชำระหนี้ในคดีล้มละลาย และต่อมานายเพิ่มเกียรติยื่นคำร้องขอให้จำเลยที่ 3 ตั้งจำเลยที่ 5เป็นทนายความดำเนินการแทนนายเพิ่มเกียรติร่วมกับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ทั้งได้ความจากคำเบิกความของจำเลยที่ 4 ว่า คดีที่นายเพิ่มเกียรติถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเป็นคดีที่มีข้อยุ่งยากซับซ้อน เพราะมีคดีอื่นเกี่ยวพันด้วย จำเลยที่ 3 จึงมอบหมายให้จำเลยที่ 4 เป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของนายเพิ่มเกียรติ ก่อนจะมีการยึดทรัพย์นายเพิ่มเกียรติได้ยื่นคำร้องขอให้จำเลยที่ 4 ตั้งจำเลยที่ 5 เป็นผู้ช่วยจำเลยที่ 4ในการรวบรวมทรัพย์สิน จำเลยที่ 4 ได้ไปทำการยึดทรัพย์ 3 ครั้งโดยมีนายเพิ่มเกียรติและจำเลยที่ 5 เป็นผู้ช่วยเหลือนำยึด ทั้งได้ความจากคำเบิกความของนายรังสรรค์ ชูรักษา พยานโจทก์ด้วยว่า ที่ดินที่ยึดมาทั้ง 3 ครั้ง ยังไม่มีการซื้อขายหรือจำหน่ายแก่บุคคลภายนอกเลย จากข้อเท็จจริงดังกล่าวศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นอธิบดีกรมบังคับคดี จำเลยที่ 2 ได้มอบหมายให้จำเลยที่ 4 เป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของนายเพิ่มเกียรติเป็นการสั่งการตามอำนาจหน้าที่และการดำเนินการยึดที่ดินพิพาทของจำเลยที่ 4 เป็นการปฏิบัติราชการตามกฎหมายในฐานะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของนายเพิ่มเกียรติ สำหรับจำเลยที่ 5 ในฐานะทนายความของนายเพิ่มเกียรติและจำเลยที่ 3 นั้น เมื่อพิเคราะห์ว่าในคดีดังกล่าวศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกซึ่งตกทอดไปยังทายาทของนายเก๋งโอ๋ว ในเบื้องต้นจึงต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่า นายเพิ่มเกียรติซึ่งเป็นทายาทคนหนึ่งเป็นผู้มีสิทธิในที่พิพาทด้วย ดังนั้น การที่จำเลยที่ 5 ดำเนินการรวบรวมรายการทรัพย์สินที่เป็นมรดกของนายเก๋งโอ๋วเสนอจำเลยที่ 4จึงเป็นการดำเนินการแทนตัวความตามที่เห็นสมควรเพื่อรักษาประโยชน์ของตัวความ คดีฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 กระทำโดยจงใจให้โจทก์เสียหายแต่อย่างใด จึงไม่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ เมื่อวินิจฉัยดังกล่าวแล้วจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์อีกเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share