แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยซื้อที่ดินพิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่มีน.ส.3ซึ่งมีชื่อโจทก์เป็นเจ้าของมาจาก ว. แล้วเข้า ยึดถือครอบครองเป็นเจ้าของตลอดมาเป็นการ โต้แย้งสิทธิโจทก์มีลักษณะเป็นการ แย่งการครอบครองแล้วและไม่จำต้อง บอกกล่าว เปลี่ยนลักษณะการยึดถือไปยังโจทก์เพราะมิได้ครอบครองโดยอาศัยสิทธิของโจทก์และก็ไม่จำเป็นที่โจทก์จะต้องทราบว่าตนเองถูกแย่งการครอบครองหรือทราบเรื่องที่จำเลยนำรังวัดเพื่อออกน.ส.3ก.แต่อย่างใด จำเลยได้ สิทธิครอบครองที่ดินของโจทก์โดยการ แย่งการครอบครองโจทก์ ไม่มี หน้าที่ทางนิติกรรมที่จะต้องจดทะเบียนแบ่งแยกให้จำเลยจึงบังคับให้ตามคำขอของจำเลยที่ขอให้โจทก์แบ่งแยกที่ดินให้แก่จำเลยมิได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่148เนื้อที่3ไร่1งานเมื่อประมาณ20ปีมาแล้วนาย วัน พี่ชายโจทก์ได้กู้เงินจากจำเลย5,000บาทโจทก์ยอมให้จำเลยเก็บดอกผลในที่ดินดังกล่าวบางส่วนเนื้อที่ประมาณ1ไร่เศษแทนดอกเบี้ยซึ่งนาย วันจะต้องชำระแก่จำเลยต่อมาเมื่อประมาณเดือนสิงหาคม2531โจทก์ไปขอชำระเงินกู้จำนวน5,000บาทแก่จำเลยและจะเข้าเก็บดอกผลในที่ดินที่ให้จำเลยเก็บดอกผลอยู่แต่จำเลยไม่ยอมรับชำระหนี้และไม่ยอมให้โจทก์เข้าเก็บดอกผลในที่ดินดังกล่าวโดยอ้างว่าซื้อที่ดินจากนาย วันแล้วและจำเลยได้ไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ประเภทก.เลขที่110และ113ขอให้จำเลยไปยกเลิกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวหากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยและให้จำเลยส่งมอบที่ดินพิพาทแก่โจทก์ห้ามเกี่ยวข้องในที่ดินดังกล่าวโดยโจทก์จะต้องชำระเงินจำนวน5,000บาทแก่จำเลย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าที่ดินตามฟ้องเดิมเป็นของบิดาโจทก์ต่อมาซีกทิศเหนือตกทอดแก่โจทก์ซีกทิศใต้ตกทอดแก่นาย วันพี่ชายโจทก์นาย วันได้ขายที่ดินส่วนของตนให้แก่จำเลยเมื่อวันที่14ตุลาคม2510ในราคา10,000บาทนาย วันได้รับเงินไปแล้วและสละสิทธิครอบครองให้แก่จำเลยตั้งแต่วันขายโดยโจทก์ทราบเรื่องดีหลังจากนั้นจำเลยได้ปลูกมะพร้าวจนได้รับผลมาประมาณ15ปีแล้วโจทก์หรือบุคคลอื่นไม่เคยโต้แย้งสิทธิของจำเลยต่อมาทางหลวงสาธารณะตัดผ่านแบ่งที่ดินของจำเลยออกเป็น2แปลงและในพ.ศ.2519เจ้าพนักงานที่ดินได้เดินสำรวจออกน.ส.3ก.ให้จำเลยคือน.ส.3ก.เลขที่110เนื้อที่1ไร่90ตารางวาและน.ส.3ก.เลขที่113เนื้อที่1งาน86ตารางวาส่วนน.ส.3ก.ของจำเลยจะออกทับที่ดินตามน.ส.3ของโจทก์หรือไม่ไม่รับรองจำเลยครอบครองเป็นเจ้าของที่ดินมาถึง21ปีเศษแล้วโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความขอให้ยกฟ้องและพิพากษาว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทตามเนื้อที่ในน.ส.3ก.เลขที่110และ113หากที่ดินตามน.ส.3ก.เลขที่110และ113ออกทับที่ดินน.ส.3เลขที่148ให้ศาลเพิกถอนน.ส.3ก.เลขที่110และ113และให้โจทก์แบ่งแยกแล้วโอนที่ดินทางทิศใต้ให้จำเลยในเนื้อที่เท่ากับในน.ส.3ก.เลขที่110และ113หากโจทก์ไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ตลอดมานาย วันไม่มีอำนาจเอาที่ดินของโจทก์ไปขายให้จำเลยสัญญาซื้อขายจึงเป็นโมฆะขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยส่งมอบที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไปให้โจทก์ชำระเงินแก่จำเลย5,000บาทและให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่110เลขที่35เล่มที่2กหน้า10และเลขที่113เลขที่ดิน41เล่มที่2กหน้า11ตำบล ดอนสักอำเภอดอนสัก จังหวัดสุราษฎร์ธานียกฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค3พิพากษายืน
จำเลยฎีกาโดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า”พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันฟังได้ยุติว่าที่ดินพิพาททั้ง2แปลงเนื้อที่1ไร่เศษเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3)เลขที่148ซึ่งมีชื่อโจทก์เป็นเจ้าของและเจ้าพนักงานที่ดินได้ออกน.ส.3ก.เลขที่110และ113สำหรับที่ดินพิพาทให้จำเลยอันเป็นการออกทับที่ดินตามน.ส.3ของโจทก์คดีมีปัญหาวินิจฉัยฎีกาของจำเลยตามที่ศาลชั้นต้นได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือของจำเลยและโจทก์นำคดีมาฟ้องเพื่อเอาคืนเมื่อเกินกว่า1ปีนับแต่จำเลยเข้าครอบครองหรือไม่โดยจะได้วินิจฉัยรวมกันไปเพราะเป็นเรื่องที่ต่อเนื่องกันความข้อนี้โจทก์นำสืบว่าเดิมนาย วันพี่ชายโจทก์ได้ขายที่ดินให้จำเลย1แปลงต่อมาได้ขายที่ติดกันให้จำเลยอีกโดยนาย วันรับเงินค่าที่ดินจากจำเลยแล้ว5,000บาทแต่ภายหลังไม่สามารถโอนที่ดินให้จำเลยได้เนื่องจากที่ดินดังกล่าวติดชื่อภรรยานาย วัน นาย วันกับจำเลยจึงมาหาโจทก์แต่ในระยะนั้นโจทก์ไม่มีเงินใช้แทนจึงให้จำเลยเข้าเก็บมะพร้าวในที่ดินพิพาทต่างดอกเบี้ยฝ่ายจำเลยนำสืบว่าที่ดินพิพาทเดิมเป็นที่ดินแปลงใหญ่เป็นของนาง ศรีนวลเมื่อนาง ศรีนวลถึงแก่กรรมจึงตกได้แก่โจทก์และนาย วันพี่ชายโจทก์ซึ่งเป็นบุตรเพียง2คนของนาง ศรีนวล โดยโจทก์ได้ทางทิศเหนือส่วนนาย วันได้ทางทิศใต้คือที่ดินพิพาทต่อมาเมื่อวันที่14ตุลาคม2510นาย วันได้ขายที่ดินพิพาทให้จำเลยในราคา10,000บาทขณะนั้นที่ดินพิพาทมีมะพร้าวปลูกอยู่แล้วประมาณ10ต้นนอกนั้นมีสภาพเป็นป่าเมื่อซื้อแล้วจำเลยได้เข้าครอบครองปลูกมะพร้าวเพิ่มเติมเห็นว่านาง พรรณีเดี่ยวฉิ้ม บุตรโจทก์เบิกความว่านาย วันกู้เงินจำเลยแล้วไม่มีเงินให้โจทก์จึงให้จำเลยเข้าเก็บมะพร้าวในที่ดินพิพาทต่างดอกเบี้ยไม่ใช่มูลกรณีมาจากเรื่องซื้อขายแล้วโอนกันไม่ได้ดังที่โจทก์อ้างพยานโจทก์นอกจากนี้มีนาย ไข่นุ้ยแก้วและนาง เล็กศรีพัฒน์ เบิกความเพียงว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์โจทก์บอกว่าเก็บกินมะพร้าวมาได้20-30ปีแล้วโดยพยานหาได้รู้เห็นด้วยตนเองไม่เป็นแต่ได้รับคำบอกเล่ามาจากโจทก์ฝ่ายจำเลยนอกจากตัวจำเลยแล้วยังมีหนังสือสัญญาซื้อขายตามเอกสารหมายล.1มาแสดงและมีนาย คล้อยโสมเพชรนายเจริญวงศ์ปานนายนอมล่ำสุข และนาย สหัสเสมอหน้า มาเบิกความเป็นพยานยืนยันว่าที่ดินพิพาทเป็นของนาย วันและนายวันขายให้จำเลยโดยในวันซื้อขายกันนั้นนาย เจริญซึ่งขณะนั้นเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านนาย นอมและนาย ดมได้ช่วยกันรังวัดที่ดินส่วนแบ่งของนาย วันซึ่งขายให้จำเลยเมื่อรังวัดแล้วนาย เจริญได้จดความกว้างยาวของที่ดินพิพาทให้นาย วันกับจำเลยนำไปทำสัญญาซื้อขายที่บ้านกำนัน โค้ง นาย จบสารวัตรกำนันเป็นคนเขียนสัญญานาย นอมได้ลงชื่อเป็นพยานในสัญญาพยานจำเลยดังกล่าวนี้ล้วนเป็นผู้สูงอายุและมีบ้านอยู่ในบริเวณใกล้กับที่ดินพิพาทนาย คล้อยเคยเป็นผู้ใหญ่บ้านมาก่อนนาย สหัสเป็นผู้ใหญ่บ้านคนปัจจุบันในท้องที่ซึ่งที่พิพาทตั้งอยู่จึงเป็นผู้ที่อยู่ในฐานะที่จะรู้เรื่องดีโดยเฉพาะนาย เจริญเป็นลูกพี่ลูกน้องกับโจทก์ไม่ปรากฏว่ามีสาเหตุโกรธเคืองต่อกันจึงไม่มีเหตุที่จะเบิกความเข้าข้างจำเลยที่โจทก์อ้างว่าได้ให้จำเลยเก็บมะพร้าวในที่ดินพิพาทต่างดอกเบี้ยโดยโจทก์ก็เก็บกินด้วยนั้นในเมื่อนาย วันเป็นคนกู้เงินจำเลยไม่ใช่โจทก์เป็นคนกู้เพราะเหตุใดโจทก์จึงยอมให้จำเลยเก็บกินในที่ดินพิพาทต่างดอกเบี้ยในเมื่อนาย วันก็มีที่สวนของตนแปลงอื่นและโจทก์จะเข้าเก็บกินซ้ำซ้อนด้วยได้อย่างไรทั้งหนี้เงินกู้มีจำนวนไม่มากเพียง5,000บาทเหตุใดโจทก์จึงยอมให้จำเลยเก็บกินตลอดมาถึง30ปีเศษและที่โจทก์เบิกความว่าระหว่างเขตแดนที่ดินพิพาทกับที่ดินโจทก์ไม่มีต้นมะพร้าวปลูกคู่ห่างกันประมาณ2ศอกเป็นแนวเขตแต่จากการเดินเผชิญสืบของศาลชั้นต้นตามที่บันทึกไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่4กรกฎาคม2532ว่าแนวเขตที่ดินพิพาทด้านทิศเหนือยาวประมาณ26เมตรมีต้นมะพร้าวปลูกเป็นแถว5ต้นแต่ละต้นห่างกันประมาณ4-5เมตรในที่ดินของโจทก์ถัดจากแนวเขตด้านนี้มีต้นมะพร้าวปลูกอยู่3ต้นในลักษณะคู่กับต้นที่1,3และ4แต่ละคู่ห่างกันประมาณ1เมตรเจือสมกับที่จำเลยนำสืบว่าเมื่อซื้อแล้วได้ปลูกต้นมะพร้าวเป็นแนวเขตห่างจากเขตแดนประมาณ1ศอกในที่ดินของโจทก์ก็ปลูกต้นมะพร้าวเป็นแนวคู่กับมะพร้าวของจำเลยในปี2519เมื่อจำเลยขอรังวัดเพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่พิพาท(น.ส.3ก.)ก็ได้ให้ถ้อยคำในแบบการสอบสวนสิทธิและพิสูจน์การทำประโยชน์ตามเอกสารหมายจ.1ว่าได้รับซื้อที่ดินพิพาทมาจากนาย วันซึ่งรับมรดกมาจากบิดามารดาในการรังวัดเพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3ก.)ดังกล่าวมีเจ้าของที่ดินข้างเคียงมาระวังแนวเขต3ด้านส่วนด้านติดกับโจทก์ไม่มีผู้มาระวังแนวเขตโดยโจทก์อ้างว่าไม่ทราบทั้งๆที่โจทก์มีบ้านอยู่ใกล้กับที่ดินพิพาทและไม่ปรากฏว่าต่อมาโจทก์ได้คัดค้านแต่อย่างใดเมื่อโจทก์และภรรยาเข้าเก็บผลมะพร้าวในที่ดินพิพาทในปี2531จำเลยก็ได้แจ้งความว่าโจทก์ลักทรัพย์และยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลดังปรากฏตามสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่370/2532ของศาลชั้นต้นพยานหลักฐานฝ่ายจำเลยจึงมีเหตุผลเชื่อมโยงกันมีน้ำหนักให้รับฟังดีกว่าพยานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยซื้อที่ดินพิพาทมาจากนาย วันตั้งแต่ปี2510แล้วเข้ายึดถือครอบครองอย่างเป็นเจ้าของตลอดมาเป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์มีลักษณะเป็นการแย่งการครอบครองแล้วและจำเลยไม่จำต้องบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะการยึดถือไปยังโจทก์เพราะมิได้ครอบครองโดยอาศัยสิทธิของโจทก์และแม้จะถือว่าในการที่จำเลยนำรังวัดเพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3ก.)ในปี2519โจทก์ไม่ทราบเรื่องก็ตามก็ไม่จำเป็นที่ผู้เป็นเจ้าของที่ดินจะต้องทราบว่าตนเองถูกแย่งการครอบครองข้อสำคัญอยู่ที่ว่าจำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยการแสดงเจตนาเป็นเจ้าของจำเลยย่อมได้ไปซึ่งสิทธิครอบครองโจทก์ฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองเมื่อวันที่22พฤษภาคม2532เป็นเวลาเกินกว่า1ปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองโจทก์จึงขาดสิทธิฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาจำเลยฟังขึ้นแต่ที่จำเลยขอให้เพิกถอนน.ส.3ก.เลขที่110และ113ของจำเลยนั้นเมื่อได้ความว่าจำเลยได้สิทธิครอบครองในที่ดินดังกล่าวแล้วจึงไม่มีเหตุที่จะต้องเพิกถอนและที่จำเลยฟ้องแย้งขอให้โจทก์ไปทำนิติกรรมแบ่งแยกที่ดินตามน.ส.3เลขที่148ของโจทก์ส่วนทางทิศใต้โอนให้จำเลยให้มีจำนวนเนื้อที่เท่ากับจำนวนเนื้อที่ในน.ส.3ก.เลขที่110และ113รวมกันหากโจทก์ไม่จัดการทำนิติกรรมให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์นั้นเห็นว่าโจทก์ไม่มีหน้าที่ทางนิติกรรมที่จะต้องจดทะเบียนแบ่งแยกให้จำเลยจึงบังคับให้ตามคำขอของจำเลยในข้อนี้มิได้”
พิพากษากลับว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทคำขออื่นของจำเลยนอกจากนี้ให้ยกให้ยกฟ้องโจทก์