คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10182/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องแยกการกระทำความผิดฐานร่วมกันหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางานในต่างประเทศได้ของจำเลยกับพวกออกเป็นห้ากรรมต่างกันตามจำนวนผู้เสียหายแต่ละคนที่จำเลยกับพวกหลอกลวง และมีคำขอท้ายฟ้องให้ลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตาม ป.อ. มาตรา 91 แม้โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันกระทำความผิดเมื่อระหว่างวันใดไม่ปรากฏชัด เดือนมิถุนายน 2543 เวลากลางวัน ถึงวันที่ 2 สิงหาคม 2543 เวลากลางวันต่อเนื่องกัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันก็ตาม แต่เมื่อจำเลยกับพวกร่วมกันหลอกลวงต่อบุคคลต่างราย ดังนั้น ในช่วงเวลาดังกล่าวจำเลยกับพวกอาจร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายทั้งห้าคนต่างวันเวลากันก็ได้ ประกอบกับจำเลยให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงต้องรับฟังตามฟ้องว่าจำเลยมีเจตนาที่จะร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายทั้งห้าแยกต่างหากจากกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 มาตรา 4, 30, 82, 91 ตรี ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 และนับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3849 – 3855/2552 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ ก่อนสืบพยาน จำเลยขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 มาตรา 91 ตรี ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถจัดหางานในต่างประเทศ จำคุกกระทงละ 3 ปี รวม 5 กระทง จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกกระทงละ 1 ปี 6 เดือน รวม 5 กระทง เป็นจำคุก 7 ปี 6 เดือน นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3849-3855/2552 ของศาลชั้นต้น ส่วนข้อหาจัดหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 มาตรา 30 วรรคหนึ่ง, 82 ให้ยกฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ลดโทษจำคุกแก่จำเลยกระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกกระทงละ 1 ปี 6 เดือน รวม 5 กระทง จำคุก 5 ปี 30 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องวันและเวลาเกิดเหตุแต่ละคนแยกต่างหากจากกันอย่างไร เมื่อพิจารณาคำฟ้องโจทก์แล้วเป็นกรณีที่จำเลยมีเจตนาเดียวที่จะจัดหาคนหางานไปทำงานต่างประเทศนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องแยกการกระทำความผิดฐานร่วมกันหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางานในต่างประเทศได้ของจำเลยกับพวกออกเป็นห้ากรรมต่างกันตามจำนวนผู้เสียหายแต่ละคนที่จำเลยกับพวกหลอกลวง และมีคำขอท้ายฟ้องให้ลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 แม้โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันกระทำความผิด เมื่อระหว่างวันใดไม่ปรากฏชัด เดือนมิถุนายน 2543 เวลากลางวัน ถึงวันที่ 2 สิงหาคม 2543 เวลากลางวันต่อเนื่องกัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันก็ตาม แต่เมื่อจำเลยกับพวกร่วมกันหลอกลวงต่อบุคคลต่างราย ดังนั้น ในช่วงเวลาดังกล่าวจำเลยกับพวกอาจร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายทั้งห้าคนต่างวันเวลากันก็ได้ ประกอบกับจำเลยให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงต้องรับฟังตามฟ้องว่าจำเลยมีเจตนาที่จะร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายทั้งห้าแยกต่างหากจากกัน การกระทำของจำเลยตามฟ้องจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้น ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share