แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หนังสือของหัวหน้าฝ่ายสารสนเทศและทะเบียนอาวุธปืน ระบุว่า การได้รับอนุญาตให้พกพาอาวุธปืนยังอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประกอบกับตามประมวลระเบียบการตำรวจไม่เกี่ยวกับคดี ลักษณะที่ 22 ข้อที่ 6 กำหนดให้ผู้บังคับบัญชาชั้นสารวัตรสามารถอนุญาตให้ตำรวจที่อยู่ในบังคับบัญชาพกอาวุธปืนติดตัวไปเพื่อปฏิบัติหน้าที่ราชการได้ ขณะเกิดเหตุ จำเลยรับราชการเป็นเจ้าพนักงานตำรวจและมีใบอนุญาตเป็นบัตรพกพาอาวุธปืนระบุชัดแจ้งว่า เป็นการอนุญาตโดยอาศัยอำนาจตามประมวลระเบียบการตำรวจดังกล่าว พร้อมทั้งมีข้อความครบถ้วนและออกโดยผู้บังคับบัญชาชั้นสารวัตรของจำเลย ดังนี้ เท่ากับบัตรพกพาเป็นหลักฐานอันเป็นหนังสือที่แสดงว่าจำเลยได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชาตามประมวลระเบียบการตำรวจอย่างถูกต้องแล้ว และขณะจำเลยถูกจับกุมยังอยู่ในช่วงเวลาที่ได้รับอนุญาตให้พกพาอาวุธปืนติดตัว จำเลยย่อมไม่มีความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265, 268, 91, 32, 33 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 8 ทวิ, 72 ทวิ ริบแผ่นป้ายเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีปลอมของกลาง และนับโทษต่อจากโทษของจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ อ.3826/2553 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง จำคุก 6 เดือน นับโทษจำคุกจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ อ.3826/2553 ของศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับข้อหาปลอมและใช้เอกสารปลอม แต่แผ่นป้ายเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีรถยนต์ประจำปี2552 เป็นทรัพย์สินที่มีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด จึงให้ริบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง และให้ยกคำขอนับโทษต่อเสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว และไม่ใช่เป็นกรณีที่ต้องมีติดตัวเมื่อมีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ ทั้งไม่ได้รับการยกเว้นใด ๆ ตามกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ตามหนังสือของหัวหน้าฝ่ายสารสนเทศและทะเบียนประวัติอาวุธปืน ระบุว่า การได้รับอนุญาตให้พกพาอาวุธปืนยังอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประกอบกับตามประมวลระเบียบการตำรวจไม่เกี่ยวกับคดี ลักษณะที่ 22 บทที่ 13 ข้อที่ 6 กำหนดให้ผู้บังคับบัญชาชั้นสารวัตรสามารถอนุญาตให้ตำรวจที่อยู่ในบังคับบัญชาพกอาวุธปืนติดตัวไปเพื่อปฏิบัติหน้าที่ราชการได้ ซึ่งใบอนุญาต ระบุชัดแจ้งว่า เป็นการอนุญาตโดยอาศัยอำนาจตามประมวลระเบียบการตำรวจดังกล่าว พร้อมทั้งมีข้อความครบถ้วนตามแบบท้ายระเบียบ เท่ากับเป็นหลักฐานอันเป็นหนังสือที่แสดงว่าจำเลยได้รับอนุญาตจากพันตำรวจตรีวราวุธ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาชั้นสารวัตรตามประมวลระเบียบการตำรวจดังกล่าวอย่างถูกต้องแล้ว และขณะจำเลยถูกจับกุมยังอยู่ในช่วงระยะเวลาที่จำเลยได้รับอนุญาตให้พกพาอาวุธปืนติดตัว ส่วนที่โจทก์ฎีกาอ้างว่า จำเลยไม่ได้นำพันตำรวจตรีวราวุธ ผู้อนุญาตมาเบิกความเป็นพยานนั้น เห็นว่า เมื่อโจทก์ไม่ได้นำสืบโต้แย้งคัดค้านถึงความถูกต้องของใบอนุญาตดังกล่าว จึงต้องฟังว่าเป็นใบอนุญาตที่ออกโดยถูกต้องตามประมวลระเบียบการตำรวจดังกล่าว ดังนี้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรณีที่ต้องมีอาวุธปืนติดตัวเมื่อมีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ จำเลยย่อมไม่มีความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน