คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2900/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีสองสำนวนศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน สำนวนหลังจำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์ย่อมมีหน้าที่นำสืบอยู่แล้ว ที่ศาลสั่งให้โจทก์นำสืบก่อนทั้งสองสำนวนนั้นเป็นการชอบแล้ว

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน

สำนวนแรก โจทก์ฟ้องและเพิ่มเติมฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินมือเปล่าจำเลยในฐานะนายอำเภอมีคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมายให้นายจวน ตระการผลกำนันทำการปักหลักยึดเอาที่ดินของโจทก์ว่าเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้พิพากษาว่าที่ดินเป็นของโจทก์ ทำลายคำสั่งของจำเลย ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง

จำเลยให้การว่า ที่ดินตามฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของหนองน้ำสาธารณะประโยชน์สำหรับประชาชนใช้ร่วมกัน เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จำเลยมีหน้าที่ดูแลรักษาสาธารณสมบัติของแผ่นดิน การสั่งให้เจ้าหน้าที่ของจำเลยปักหลักแสดงเขตหนองน้ำนั้นเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง

สำนวนหลังโจทก์ฟ้องว่าที่ดินแปลงเดียวกับสำนวนแรกเป็นของโจทก์จำเลยทั้งสองปักหลักในที่ดินดังกล่าวโดยอ้างว่าเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินราษฎรใช้ร่วมกัน นายอำเภอให้จำเลยปักหลักไว้ เป็นการบุกรุกที่ดินโจทก์ ขอให้พิพากษาว่าที่ดินเป็นของโจทก์ ให้จำเลยรื้อถอนหลักออกไป ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง

จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ทั้งสองสำนวนฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยในปัญหาหน้าที่นำสืบว่า คดีสองสำนวนนี้ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน สำนวนหลังจำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์ย่อมมีหน้าที่นำสืบอยู่แล้ว ที่ศาลสั่งให้โจทก์เป็นฝ่ายมีหน้าที่นำสืบก่อนทั้งสองสำนวนนั้นเป็นการชอบแล้ว

ส่วนว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่นั้นวินิจฉัยว่า คดีฟังไม่ได้ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์

พิพากษายืน

Share