แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ป.วิ.อ. มาตรา 182 วรรคสองและวรรคสาม บัญญัติให้ศาลอ่านคำพิพากษาในศาลต่อหน้าคู่ความโดยเปิดเผย เมื่ออ่านแล้วให้คู่ความลงลายมือชื่อไว้ และมาตรา 2 (15) ได้ให้คำจำกัดความของคำว่า “คู่ความ” ไว้ว่า หมายถึงโจทก์ฝ่ายหนึ่งและจำเลยอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งมาตรา 2 (3) บัญญัติว่า “จำเลย” หมายถึงบุคคลซึ่งถูกฟ้องยังศาลแล้วโดยข้อหาว่าได้กระทำความผิด ฉะนั้นทนายจำเลยที่ 2 จึงมิได้เป็นจำเลยที่ 2 หรือเป็นคู่ความตามความหมายดังกล่าวแต่อย่างใด จึงไม่อาจถือว่าการส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ให้แก่ทนายจำเลยที่ 2 เป็นการส่งให้แก่จำเลยที่ 2 ด้วย
ย่อยาว
คดีนี้ เดิมศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2843/2554 ของศาลชั้นต้น โดยเรียกโจทก์ทั้งสองสำนวนว่า โจทก์ เรียกจำเลยในสำนวนดังกล่าวว่า จำเลยที่ 1 และเรียกจำเลยในสำนวนนี้ว่า จำเลยที่ 2 แต่คดีสำหรับจำเลยที่ 1 ยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 คงขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะคดีนี้
คดีสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2556 ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ให้โจทก์ฟัง โดยถือว่าได้อ่านให้จำเลยทั้งสองฟังด้วยแล้ว ต่อมาวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2557 จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2550 จำเลยที่ 2 ได้ย้ายภูมิลำเนาจากบ้านเลขที่ 168/243 หมู่ที่ 5 ถนนสุราษฎร์-ปากน้ำ ตำบลบางกุ้ง อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี ไปอยู่ที่บ้านเลขที่ 113/153 หมู่ที่ 1 ถนนการุณราษฎร์ ตำบลมะขามเตี้ย อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี แต่เจ้าหน้าที่ศาลได้ส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ให้จำเลยที่ 2 ที่บ้านเลขที่ 168/243 ทำให้จำเลยที่ 2 ไม่ได้รับหมายนัด การส่งหมายนัดจึงเป็นการไม่ชอบ ขอให้ส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ให้จำเลยที่ 2 ใหม่ ตามภูมิลำเนาปัจจุบัน และเพิกถอนหมายจับจำเลยที่ 2
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2550 จำเลยที่ 2 ย้ายภูมิลำเนาจากบ้านเลขที่ 168/243 หมู่ที่ 5 ถนนสุราษฎร์-ปากน้ำ ตำบลบางกุ้ง อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี ไปอยู่ที่บ้านเลขที่ 113/153 หมู่ที่ 1 ถนนการุณราษฎร์ ตำบลมะขามเตี้ย อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามสำเนารายการเกี่ยวกับบ้าน ต่อมาวันที่ 28 พฤษภาคม 2552 โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ต่อศาลชั้นต้น ระบุตามคำฟ้องว่า จำเลยที่ 2 อยู่บ้านเลขที่ 168/243 หมู่ที่ 5 ถนนสุราษฎร์ธานีนาสาร ตำบลบางกุ้ง อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 โจทก์อุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 8 ส่งคำพิพากษามายังศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นออกหมายนัดจำเลยที่ 2 ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ในวันที่ 11 มิถุนายน 2556 โดยระบุภูมิลำเนาบ้านเลขที่ 168/243 หมู่ที่ 5 ถนนสุราษฎร์ธานี-นาสาร ตำบลบางกุ้ง อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามฟ้องโจทก์ เจ้าหน้าที่ศาลชั้นต้นไปส่งหมายนัดดังกล่าวตามภูมิลำเนาในหมายนัดโดยวิธีปิดหมาย เมื่อถึงวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 จำเลยที่ 2 ไม่มาศาล ศาลชั้นต้นจึงออกหมายจับจำเลยที่ 2 ต่อมาวันที่ 18 กรกฎาคม 2556 ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ลับหลังจำเลยที่ 2 โดยศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 4 ปี ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นส่งหมายนัดและสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 2 ที่บ้านเลขที่ 168/243 หมู่ที่ 5 ตำบลบางกุ้ง อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า แม้ปัญหาที่ว่าการส่งหมายนัดและสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 2 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยก็ตาม แต่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวจำเป็นต้องอาศัยข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบในศาลชั้นต้น เมื่อจำเลยที่ 2 มิได้ยกข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหาข้อนี้ขึ้นในศาลชั้นต้น โดยเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกา จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า การส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ให้แก่จำเลยที่ 2 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 2 ย้ายภูมิลำเนาจากบ้านเลขที่ 168/243 หมู่ที่ 5 ถนนสุราษฎร์-ปากน้ำ ตำบลบางกุ้ง อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามฟ้อง ไปอยู่ที่บ้านเลขที่ 113/153 หมู่ที่ 1 ถนนการุณราษฎร์ ตำบลมะขามเตี้ย อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2550 ซึ่งเป็นวันก่อนที่โจทก์จะฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีนี้นานประมาณ 1 ปี 5 เดือน ประกอบกับตามหนังสือมอบอำนาจในการยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 2 ระบุว่า จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจ อยู่ที่บ้านเลขที่ 113/153 หมู่ที่ 1 ถนนการุณราษฎร์ ตำบลมะขามเตี้ย อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจำเลยที่ 2 ได้ส่งสำเนารายการเกี่ยวกับบ้านเลขที่ดังกล่าวพร้อมหนังสือมอบอำนาจในการยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวด้วย นอกจากนี้จำเลยที่ 2 ยังเบิกความตอบศาลว่า ตั้งบ้านเรือนอยู่เลขที่ 113/153 หมู่ที่ 1 ตำบลมะขามเตี้ย อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี เชื่อว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้พักอาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ 168/243 หมู่ที่ 5 ถนนสุราษฎร์-ปากน้ำ ตำบลบางกุ้ง อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามฟ้องแล้ว พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวจึงเป็นการแสดงเจตนาไว้โดยชัดแจ้งแล้วว่าได้เปลี่ยนภูมิลำเนาจากบ้านเลขที่ 168/243 หมู่ที่ 5 ถนนสุราษฎร์-ปากน้ำ ตำบลบางกุ้ง อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามฟ้อง ไปอยู่ที่บ้านเลขที่ 113/153 หมู่ที่ 1 ถนนการุณราษฎร์ ตำบลมะขามเตี้ย อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี จึงไม่อาจถือได้ว่าบ้านเลขที่ 168/243 เป็นภูมิลำเนาเฉพาะการในการดำเนินคดีนี้ของจำเลยที่ 2 เพราะภูมิลำเนาของบุคคลย่อมเปลี่ยนไปด้วยการย้ายถิ่นที่อยู่พร้อมด้วยเจตนาชัดแจ้งว่าจะเปลี่ยนภูมิลำเนา ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 41 แม้จำเลยจะมิได้แจ้งการย้ายภูมิลำเนาต่อศาลก็เป็นคนละเรื่องกับปัญหาว่าการส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ชอบหรือไม่ ส่วนที่เจ้าหน้าที่ศาลนำหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไปส่งให้แก่ทนายจำเลยที่ 2 นั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 182 วรรคสองและวรรคสาม บัญญัติให้ศาลอ่านคำพิพากษาในศาลต่อหน้าคู่ความโดยเปิดเผย เมื่ออ่านแล้วให้คู่ความลงลายมือชื่อไว้ และมาตรา 2 (15) ได้ให้คำจำกัดความของคำว่า “คู่ความ” ไว้ว่า หมายถึงโจทก์ฝ่ายหนึ่งและจำเลยอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งมาตรา 2 (3) บัญญัติว่า “จำเลย” หมายถึงบุคคลซึ่งถูกฟ้องยังศาลแล้วโดยข้อหาว่าได้กระทำความผิด ฉะนั้นทนายจำเลยที่ 2 จึงมิได้เป็นจำเลยที่ 2 หรือเป็นคู่ความตามความหมายดังกล่าวแต่อย่างใด จึงไม่อาจถือว่าการส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ให้แก่ทนายจำเลยที่ 2 เป็นการส่งให้แก่จำเลยที่ 2 ด้วย ดังนี้ การส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ให้จำเลยที่ 2 จึงเป็นการไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 74 (2) ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 อันเป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบและทำให้จำเลยที่ 2 เสียหายเพราะไม่มีโอกาสฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ซึ่งศาลฎีกามีอำนาจที่จะมีคำสั่งให้เพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสียทั้งหมดหรือบางส่วนหรือสั่งแก้ไขหรือมีคำสั่งในเรื่องนั้นอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่เห็นสมควรได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ของศาลชั้นต้นที่อ่านให้จำเลยที่ 2 ฟัง และเพิกถอนหมายจับจำเลยที่ 2 ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ให้จำเลยที่ 2 ฟังใหม่