คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10158/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งหกชดใช้ค่าเสียหาย ระบุว่าจำเลยทั้งหกผิดสัญญาจ้าง และในคำฟ้องข้อ 4 ระบุว่าในส่วนความรับผิดทางละเมิดจำเลยทั้งหกต้องรับผิดตามคณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางละเมิดโดยให้จำเลยทั้งหกรับผิดตามส่วน คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นการฟ้องให้จำเลยทั้งหกรับผิดทั้งมูลละเมิดและมูลสัญญาจ้างแรงงาน ผู้อำนวยการของโจทก์ทราบการกระทำผิดและทราบว่าจำเลยทั้งหกเป็นผู้กระทำผิดโดยมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงความผิดวินัยพนักงาน และความรับผิดในทางแพ่งเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2541 โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2551 จึงเกินกว่า 2 ปี นับแต่วันที่โจทก์ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวเจ้าหน้าที่ผู้พึงจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน จึงขาดอายุความตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 มาตรา 10 วรรคสอง ส่วนการฟ้องฐานผิดสัญญาจ้างแรงงานใช้อายุความทั่วไป 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 และเริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปตามมาตรา 193/12 กล่าวคือนับแต่วันที่จำเลยทั้งหกร่วมกันวิเคราะห์และอนุมัติปล่อยสินเชื่อผิดระเบียบ ซึ่งเป็นวันผิดสัญญาจ้างแรงงาน อันเป็นวันที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ นับถึงวันฟ้องเกินกว่า 10 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความทั้งฐานละเมิดและฐานผิดสัญญาจ้างแรงงาน
คดีก่อนศาลแรงงานภาค 4 พิพากษายกฟ้องโจทก์ เนื่องจากผู้รับมอบอำนาจไม่มีอำนาจฟ้องและไม่มีอำนาจแต่งตั้งทนายความโดยไม่ได้ระบุในคำพิพากษาว่าให้ยกฟ้องโดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องใหม่โจทก์จึงไม่ได้รับประโยชน์ในการนำคดีมาฟ้องใหม่ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่คำพิพากษาศาลแรงงานภาค 4 ถึงที่สุดตามมาตรา 193/17 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระเงิน 375,833.33 บาท จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 375,833.33 บาท จำเลยที่ 3 ชำระเงิน 939,583.34 บาท จำเลยที่ 4 ชำระเงิน 2,067,083.34 บาท จำเลยที่ 5 ชำระเงิน 375,833.33 บาท จำเลยที่ 6 ชำระเงิน 1,503,333.33 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินแต่ละจำนวนนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 6 ให้การ แก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง และฟ้องแย้งบังคับให้โจทก์ชำระเงินค่าตอบแทนความชอบ เงินประกันการทำงานและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องรวม 621,313.70 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 376,460 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ 6
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 4 ยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายเบื้องต้นว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่
ศาลแรงงานภาค 4 วินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายเบื้องต้นแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์ และให้โจทก์ชำระเงิน 621,313.70 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 376,460 บาท นับถัดจากวันฟ้องแย้ง (วันที่ 4 มิถุนายน 2551) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ 6
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันตามคำฟ้อง คำให้การ ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 6 และคำให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยทั้งหกเป็นลูกจ้างโจทก์ ขณะเกิดเหตุจำเลยที่1 เป็นผู้จัดการสาขาประชารักษา จังหวัดอุดรธานี จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานบัญชี 7 สาขาประชารักษา จังหวัดอุดรธานี จำเลยที่ 3 เป็นพนักงานอำนวยสินเชื่อ 4 สาขาประชารักษา จังหวัดอุดรธานี จำเลยที่ 4 เป็นพนักงานวิเคราะห์สินเชื่อ 7 กลุ่มงานธุรกิจธนาคารออมสินภาค 11 จังหวัดอุดรธานี จำเลยที่ 5 เป็นหัวหน้าแผนกตรวจสอบทั่วไป กองบริหารงานสาขาธนาคารออมสินภาค 11 จังหวัดอุดรธานี จำเลยที่ 6 เป็นหัวหน้ากองบริหารงานสาขาธนาคารออมสินภาค 11 จังหวัดอุดรธานี โดยจำเลยทั้งหกปล่อยสินเชื่อสาขาประชารักษา จังหวัดอุดรธานี ไม่เป็นไปตามระเบียบคำสั่งของโจทก์ กล่าวคือมีการประเมินราคาหลักทรัพย์สูงกว่าความเป็นจริง และอนุมัติสินเชื่อผิดหลักเกณฑ์อันเป็นการปฏิบัติผิดระเบียบ คำสั่ง หรือปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย แล้ววินิจฉัยว่า จำเลยทั้งหกร่วมกันวิเคราะห์และอนุมัติสินเชื่อที่โจทก์อ้างว่า ไม่เป็นไปตามระเบียบคำสั่งอันเป็นการกระทำละเมิดและทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายนั้น ความเสียหายของโจทก์จะเริ่มขึ้นก็ต่อเมื่อมีการอนุมัติปล่อยสินเชื่อและนำเงินของโจทก์ชำระให้แก่ผู้กู้ เมื่อพิจารณาซึ่งโจทก์อ้างว่าจำเลยทั้งหกวิเคราะห์และอนุมัติปล่อยสินเชื่อโดยไม่เป็นไปตามระเบียบคำสั่งของโจทก์อันเป็นการกระทำละเมิดนั้น มีการทำสัญญากู้กันระหว่างวันที่ 27 มิถุนายน 2540 ถึงวันที่ 10 กรกฎาคม 2540 การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ในวันที่ 10 เมษายน 2551 จึงเกินกว่า 10 ปี นับแต่วันที่จำเลยทั้งหกกระทำละเมิดต่อโจทก์ ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ โจทก์ไม่มีอำนาจอายัดเงินตอบแทนความชอบและเงินประกันการทำงานของจำเลยที่ 6 ไว้ได้อีกต่อไป จึงต้องคืนเงินให้แก่จำเลยที่ 6
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์โจทก์ประการแรกว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ โดยโจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งหกฐานผิดสัญญาจ้างมิใช่ฐานมูลละเมิด ซึ่งโจทก์ทราบถึงการกระทำผิดของจำเลยทั้งหกเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2541 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์โดยผู้อำนวยการธนาคารออมสินมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงความผิดวินัยพนักงานและความรับผิดทางแพ่ง จึงเป็นวันที่โจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งหกใช้ค่าเสียหายในข้อหาผิดสัญญาจ้าง อายุความต้องนับแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2541 ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งหกให้ชดใช้ค่าเสียหาย โดยในคำฟ้องนอกจากจะระบุว่าจำเลยทั้งหกผิดสัญญาจ้างแล้วในฟ้องข้อ 4 ระบุว่าในส่วนความรับผิดทางละเมิด จำเลยทั้งหกต้องรับผิดตามคณะกรรมการพิจารณารับผิดทางละเมิดวินิจฉัยโดยให้จำเลยทั้งหกรับผิดตามส่วน ดังนั้นคำฟ้องของโจทก์จึงเป็นการฟ้องให้จำเลยทั้งหกรับผิดทั้งมูลละเมิดและมูลสัญญาจ้างแรงงาน โดยในฐานละเมิดเมื่อโจทก์รับว่าผู้อำนวยการโจทก์ทราบการกระทำผิดและทราบว่าจำเลยทั้งหกเป็นผู้กระทำผิดโดยมีคำสั่งเฉพาะที่ มส. 44/2541 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ความผิดวินัยพนักงาน และความรับผิดในทางแพ่ง เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2541 และโจทก์นำคดีมาฟ้องวันที่ 10 เมษายน 2551 จึงเกินกว่า 2 ปี นับแต่วันที่โจทก์ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวเจ้าหน้าที่ผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนจึงขาดอายุความตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 มาตรา 10 วรรคสอง แล้ว ส่วนการฟ้องฐานผิดสัญญาจ้างแรงงานนั้น เมื่อไม่ได้มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความทั่วไป 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 และอายุความให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปตามมาตรา 192/12 คดีนี้จำเลยทั้งหกซึ่งมีหน้าที่ต้องปล่อยสินเชื่อตามระเบียบของโจทก์ แต่จำเลยทั้งหกร่วมกันวิเคราะห์และอนุมัติปล่อยสินเชื่อระหว่างวันที่ 27 มิถุนายน 2540 ถึงวันที่ 10 กรกฎาคม 2540 โดยประเมินราคาหลักทรัพย์สูงกว่าความเป็นจริงและอนุมัติสินเชื่อผิดหลักเกณฑ์อันเป็นการผิดระเบียบของโจทก์ทำให้โจทก์เสียหาย ดังนั้นอายุความในมูลหนี้ผิดสัญญาจ้างแรงงานจึงนับแต่วันที่จำเลยทั้งหกร่วมกันวิเคราะห์และอนุมัติสินเชื่อผิดระเบียบซึ่งเป็นวันผิดสัญญาจ้างแรงงานอันเป็นวันที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ไม่ นับถึงวันฟ้องคือวันที่ 10 เมษายน 2551 เกินกว่า 10 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความทั้งฐานละเมิดและฐานผิดสัญญาจ้างแรงงาน อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการสุดท้ายว่า ในคดีเดิมที่ศาลพิพากษายกฟ้อง โจทก์มีสิทธิที่จะฟ้องจำเลยทั้งหกเป็นคดีใหม่ได้หรือไม่ โดยโจทก์อุทธรณ์ว่า เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งหกต่อศาลแรงงานภาค 4 ศาลมีคำพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องตามคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ 133/2550 หมายเลขแดงที่ 12/2551 โจทก์จึงมีสิทธิที่จะฟ้องจำเลยทั้งหกใหม่ภายในกำหนดอายุความ หรือเมื่ออายุความครบกำหนดไปแล้วในระหว่างพิจารณาโจทก์ก็มีสิทธิฟ้องคดีภายใน 60 วัน นับแต่วันที่คำพิพากษาศาลแรงงานภาค 4 ถึงที่สุดนั้น เห็นว่า การจะใช้สิทธิฟ้องคดีใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/17 วรรคสอง ต้องเป็นกรณีที่คดีนั้นศาลไม่รับหรือคืนหรือให้ยกคำฟ้องเพราะเหตุคดีไม่อยู่ในอำนาจศาลหรือศาลให้ยกคำฟ้องโดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องใหม่ เมื่อคดีก่อนศาลแรงงานภาค 4 มีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์เนื่องจากผู้รับมอบอำนาจไม่มีอำนาจฟ้องและไม่มีอำนาจแต่งตั้งทนายความ เมื่อศาลในคดีก่อนมิได้ระบุในคำพิพากษาว่าให้ยกฟ้องโดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องใหม่ โจทก์จึงไม่ได้รับประโยชน์ในการที่จะนำคดีมาฟ้องใหม่ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่คำพิพากษาศาลแรงงานภาค 4 ถึงที่สุดตามมาตรา 193/17 วรรคสอง อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน

Share