คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2690/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็คจากจำเลยผู้สั่งจ่าย จำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียก ส. เข้าเป็นจำเลยร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3) โดยอ้างว่าจำเลยออกเช็คพิพาทให้แก่ ส. และได้ชำระหนี้ตามเช็คพิพาทให้แก่ ส. ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากศาลพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี จำเลยจำเป็นต้องฟ้อง ส. เพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ย ดังนี้ เมื่อตามคำฟ้องและคำให้การไม่ปรากฏว่าส. เป็นผู้สลักหลังเช็คพิพาท จึงไม่มีกรณีที่จะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอากับ ส.ตามกฎหมายลักษณะตั๋วเงินส.ไม่ต้องรับผิดต่อผู้ทรงเช็คพิพาทคนใดเลย ไม่มีความผูกพันร่วมกับจำเลยที่จะต้องชำระหนี้ตามเช็คพิพาทให้โจทก์จึงไม่มีเหตุที่จะเรียก ส. เข้ามาเป็นจำเลยร่วม
เช็คพิพาทเป็นเช็คที่ออกให้แก่ผู้ถือ จำเลยผู้สั่งจ่ายมิได้กล่าวอ้างต่อสู้ว่าโจทก์ผู้ทรงได้รับโอนเช็คพิพาทมาด้วยการคบคิดกันฉ้อฉล ทั้งคำให้การก็มิได้บรรยายให้เข้าใจได้ว่าโจทก์รับโอนเช็คพิพาทมาจากผู้ใด ด้วยวิธีใดอันจะถือได้ว่าเป็นการคบคิดกันฉ้อฉล จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยให้การโดยชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 ว่าโจทก์รับโอนเช็คพิพาทมาจากผู้อื่นด้วยคบคิดกันฉ้อฉล คดีจึงไม่มีประเด็นว่าโจทก์รับโอนเช็คพิพาทด้วยการคบคิดกันฉ้อฉล ดังนั้นในเบื้องต้นจึงจะต้องถือว่าโจทก์รับเช็คพิพาทมาโดยสุจริต แม้จะฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยให้การว่า จำเลยชำระหนี้ตามเช็คพิพาทให้แก่ ส.แล้วแต่ส. ไม่คืนเช็คพิพาทให้ก็ตามการที่ ส. ฝ่ายเดียวเป็นผู้ทุจริต จำเลยก็ไม่อาจต่อสู้โจทก์ผู้ทรงเช็คพิพาทด้วยข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันกันเฉพาะบุคคลระหว่างจำเลยกับ ส. ได้ ฉะนั้นที่ศาลชั้นต้นได้งดสืบพยานแล้วพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์จึงเป็นการชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยออกเช็คธนาคารภารตโอเวอร์ซี จำกัด สำนักงานใหญ่ลงวันที่ออกเช็ควันที่ 12 มกราคม 2521 สั่งจ่ายเงิน 200,000 บาท แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ ต่อมาโจทก์สลักหลังโอนเช็คดังกล่าวให้แก่บริษัทง่วนฮวดค้าผ้าจำกัด บริษัทง่วนฮวดค้าผ้า จำกัด สลักหลังส่งมอบเช็คดังกล่าวให้นายพิเชฐเมื่อถึงวันออกเช็ค นายพิเชฐได้นำเช็คดังกล่าวเข้าบัญชีในธนาคารเพื่อเรียกเก็บเงินตามเช็ค แต่ธนาคารภารตโอเวอร์ซี สำนักงานใหญ่ปฏิเสธการจ่ายเงินนายพิเชฐจึงเรียกเก็บเงินตามเช็คจากโจทก์ในฐานะผู้รับอาวัล โจทก์ได้จ่ายเงินตามเช็คดังกล่าวให้กับนายพิเชฐเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2521 และเข้าถือเอาเช็คดังกล่าวมาไว้ในครอบครอง โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระเงินตามเช็คให้โจทก์หลายครั้ง แต่จำเลยเพิกเฉยเสีย ขอให้พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 200,000บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2521จนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 6,250 บาท และดอกเบี้ยของต้นเงิน 200,000 บาท (ในอัตราดังกล่าว) นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จให้โจทก์

จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะสลักหลังโอนให้แก่บุคคลอื่น ฉะนั้น โจทก์ บริษัทง่วนฮวดค้าผ้า จำกัด และนายพิเชฐต่างไม่ใช่ผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้จำเลยออกเช็คพิพาทให้แก่บริษัทสยามพิมพ์ย้อม จำกัด ต่อมาจำเลยได้ผ่อนชำระหนี้ตามเช็คพิพาทให้แก่บริษัทสยามพิมพ์ย้อม จำกัด หลายครั้งรวมทั้งดอกเบี้ยเป็นเงิน 209,731 บาท แต่บริษัทดังกล่าวไม่คืนเช็คพิพาทให้จำเลยอ้างว่ายังหาเช็คพิพาทไม่พบ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรับผิดตามเช็คพิพาทต่อไป จำเลยไม่เคยได้รับหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้จากโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2522 ว่า จำเลยออกเช็คพิพาทให้แก่บริษัทสยามพิมพ์ย้อม จำกัด และได้ชำระหนี้ (ตามเช็คพิพาท) ให้แก่บริษัทดังกล่าวไปแล้ว หากศาลพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี จำเลยก็จำเป็นต้องฟ้องบริษัทดังกล่าวเพื่อใช้สิทธิไล่เบี้ย ขอให้เรียกบริษัทดังกล่าวเข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3)เพื่อศาลจะได้พิพากษาถึงความรับผิดในคราวเดียวกัน

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2522 ว่า กรณียังไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3) ยกคำร้องของจำเลย

วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2522 ซึ่งเป็นวันนัดชี้สองสถาน โจทก์จำเลยรับกันว่าเช็คพิพาทเป็นเช็คออกให้ผู้ถือ ศาลชั้นต้นฟังว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้วให้งดชี้สองสถานและงดสืบพยาน นัดฟังคำพิพากษา

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามเช็คพิพาท 200,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2521จนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์

จำเลยอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2522 ที่ขอให้เรียกบริษัทสยามพิมพ์ย้อม จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วม และอุทธรณ์คำพิพากษาขอให้กลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น สั่งให้ศาลชั้นต้นชี้สองสถาน และสืบพยานโจทก์จำเลยไปตามกระบวนพิจารณาจนสิ้นกระแสความ

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งยกคำร้องของจำเลยที่ขอให้ศาลหมายเรียกบริษัทสยามพิมพ์ย้อม จำกัด เข้าเป็นจำเลยร่วมนั้น ปรากฏว่าจำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียกบริษัทสยามพิมพ์ย้อม จำกัด เป็นจำเลยร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3) โดยอ้างว่าจำเลยออกเช็คพิพาทให้แก่บริษัทสยามพิมพ์ย้อม จำกัด และได้ชำระหนี้ตามเช็คให้แก่บริษัทดังกล่าวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากศาลพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี จำเลยจำเป็นต้องฟ้องบริษัทสยามพิมพ์ย้อม จำกัด เพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ยพิเคราะห์แล้วเห็นว่าตามคำฟ้องของโจทก์และคำให้การจำเลยไม่ปรากฏว่า บริษัทสยามพิมพ์ย้อม จำกัด เป็นผู้สลักหลังเช็คพิพาท จึงไม่มีกรณีที่จะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอากับบริษัทสยามพิมพ์ย้อม จำกัด ตามกฎหมายลักษณะตั๋วเงิน บริษัทสยามพิมพ์ย้อม จำกัด ไม่ต้องรับผิดต่อผู้ทรงเช็คพิพาทคนใดเลย ไม่มีความผูกพันร่วมกับจำเลยที่จะต้องชำระหนี้ตามเช็คพิพาทให้โจทก์ จึงไม่มีเหตุจะเรียกบริษัทสยามพิมพ์ย้อม จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วม

ส่วนที่จำเลยฎีกาคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดการชี้สองสถาน และงดสืบพยานโจทก์และจำเลยนั้น พิเคราะห์แล้วปรากฏว่า เช็คพิพาทเป็นเช็คที่ออกให้แก่ผู้ถือซึ่งตามมาตรา 916 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ให้ยกมาบังคับในเรื่องเช็คด้วยบัญญัติว่า “บุคคลทั้งหลายผู้ถูกฟ้องในมูลตั๋วแลกเงินหาอาจจะต่อสู้ผู้ทรงด้วยข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันกันเฉพาะบุคคลระหว่างตนกับผู้สั่งจ่ายหรือกับผู้ทรงคนก่อน ๆ นั้นได้ไม่ เว้นแต่การโอนจะได้มีขึ้นด้วยคบคิดกันฉ้อฉล”อาศัยบทบัญญัติแห่งมาตรานี้ได้พิเคราะห์คำให้การของจำเลยแล้ว จำเลยมิได้กล่าวอ้างต่อสู้ว่าโจทก์ได้รับโอนเช็คพิพาทมาด้วยการคบคิดกันฉ้อฉล ทั้งคำให้การก็มิได้บรรยายให้เข้าใจได้ว่า โจทก์รับโอนเช็คพิพาทมาจากผู้ใด ด้วยวิธีใด อันจะถือได้ว่าเป็นการคบคิดกันฉ้อฉล จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยให้การโดยชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 ว่าโจทก์รับโอนเช็คพิพาทมาจากผู้อื่นด้วยคบคิดกันฉ้อฉลซึ่งตกเป็นหน้าที่ของจำเลยจะต้องสืบ คดีจึงไม่มีประเด็นว่าโจทก์รับโอนเช็คพิพาทด้วยการคบคิดกันฉ้อฉล ดังนั้น ในเบื้องต้นจึงจำต้องถือว่าโจทก์ได้รับเช็คพิพาทมาโดยสุจริต อนึ่ง แม้จะฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยให้การว่า จำเลยชำระหนี้ตามเช็คพิพาทให้แก่บริษัทสยามพิมพ์ย้อมจำกัด แล้ว แต่บริษัทสยามพิมพ์ย้อม จำกัด ไม่คืนเช็คพิพาทให้ก็ตาม การที่บริษัทสยามพิมพ์ย้อม จำกัด ฝ่ายเดียวเป็นผู้ทุจริต จำเลยก็ไม่อาจต่อสู้โจทก์ผู้ทรงเช็คพิพาทด้วยข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันกันเฉพาะบุคคลระหว่างจำเลยกับบริษัทสยามพิมพ์ย้อม จำกัด ได้ ฉะนั้น ที่ศาลล่างทั้งสองให้งดสืบพยานแล้วพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ จึงเป็นการชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share