แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เดือนพฤษภาคม 2557 จำเลยทำหนังสือร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของโจทก์ว่าโจทก์มีพฤติกรรมในทางชู้สาวกับหญิงอื่น ต่อมาเดือนสิงหาคม 2557 จำเลยถอนเรื่องร้องเรียนดังกล่าว แล้วโจทก์ยอมกลับมาอยู่กับจำเลยที่บ้าน จึงเห็นได้ว่า ตามคำฟ้องของโจทก์มีการบรรยายระบุถึงพฤติการณ์ที่แสดงถึงการให้อภัยจำเลยโดยยอมกลับมาอยู่กับจำเลยภายหลังเกิดเหตุการณ์ เมื่อจำเลยไม่ได้ให้การโต้แย้งเกี่ยวกับข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่คู่ความรับกันแล้ว ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84 (3) อีกทั้งจำเลยได้ยื่นถอนเรื่องร้องเรียนความประพฤติด้านชู้สาวของโจทก์ต่อผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระบุรี เขต 1 ว่า จำเลยตกลงใจถอนเรื่องร้องเรียนโดยมีเงื่อนไข 3 ประการ คือให้โจทก์กลับเข้าบ้านและปฏิบัติตนเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดีดูแลบุตรภริยาตามเดิม ให้โจทก์ปฏิบัติตนในทางที่ดี ไม่ให้เป็นที่ดูถูก ดูหมิ่นเหยียดหยาม ซุบซิบนินทาของบุคคลทั่วไปในสังคมและให้โจทก์ให้เกียรติยกย่องบุคคลในครอบครัวอันได้แก่ บุตร ภริยา ตามกาลเทศะที่เหมาะสม โดยโจทก์ก็ได้จัดทำบันทึกข้อตกลงว่าโจทก์จะกลับเข้าพักในบ้านเดิมกับครอบครัวซึ่งมีบุตรและภริยาเช่นเดิม แม้ข้อตกลงจะไม่ได้ระบุว่าโจทก์ให้อภัยการกระทำของจำเลย แต่พฤติการณ์ที่โจทก์แสดงออกโดยกลับมาอยู่บ้านเดิมกับครอบครัวซึ่งมีบุตรและภริยาเช่นเดิมเพื่ออยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยต่อไปภายหลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เป็นการแสดงว่าโจทก์ได้ให้อภัยต่อการกระทำของจำเลยที่ส่งข้อความหมิ่นประมาทบิดาของโจทก์ สิทธิฟ้องหย่าของโจทก์ในเรื่องนี้จึงหมดไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาให้โจทก์กับจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การที่จำเลยทำหนังสือร้องเรียนพฤติกรรมชู้สาวของโจทก์ต่อผู้บังคับบัญชาโจทก์ก็ดี หรือการที่จำเลยว่าจ้างนักสืบเอกชนให้คอยติดตามความเคลื่อนไหวของโจทก์ยังไม่ถึงขนาดให้โจทก์ได้รับความเดือดร้อนเกินควรจึงไม่เป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าได้ ส่วนการที่จำเลยให้คนขนทรัพย์สินของโจทก์ออกไปจากบ้านเลขที่ 3 หมู่ที่ 1 ตำบลเสาไห้ อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี มาวางไว้ที่หน้าบ้านพักประจำตำแหน่งของโจทก์ภายในโรงเรียนอนุบาลสระบุรียังไม่ถือเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าได้ คู่ความไม่อุทธรณ์ฎีกา ข้อเท็จจริงในส่วนนี้จึงยุติว่าเหตุดังกล่าวไม่เป็นเหตุฟ้องหย่าได้ คู่ความไม่อุทธรณ์ฎีกา ข้อเท็จจริงในส่วนนี้จึงยุติว่าเหตุดังกล่าวไม่เป็นเหตุฟ้องหย่า
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ข้อความที่จำเลยส่งเข้าโทรศัพท์เคลื่อนที่ของโจทก์ ซึ่งตรงกับสำเนาข้อความในส่วนที่พาดพิงบุพการีโจทก์เป็นการเหยียดหยามบุพการีของโจทก์อย่างร้ายแรงซึ่งถือว่าเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยได้ และการที่มีการพูดคุยเจรจากันระหว่างโจทก์กับจำเลย จำเลยยื่นถอนเรื่องร้องเรียนโจทก์แล้วโจทก์กลับไปพักอาศัยอยู่กับจำเลยอีกครั้ง เมื่อเดือนกันยายน 2557 การกระทำดังกล่าว ถือว่าโจทก์ได้ให้อภัยในการกระทำของจำเลยที่ผ่านมาแล้ว สิทธิฟ้องหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1518 หมดไปหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นชี้สองสถานว่ากรณีมีเหตุฟ้องหย่าจำเลยเนื่องจากจำเลยประพฤติชั่วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (2) (ก) – (ค) หรือหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามบุพการีของโจทก์ตามมาตรา 1516 (3) หรือทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรงตามมาตรา 1516 (6) หรือไม่ แม้จะไม่ได้กำหนดประเด็นเรื่องการให้อภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1518 ไว้ก็ตาม แต่การที่ศาลชั้นต้นจะวินิจฉัยให้หย่ากันได้หรือไม่นั้น ศาลชั้นต้นจำต้องพิเคราะห์ถึงเหตุแห่งการหย่าว่ายังคงมีอยู่จนถึงขณะฟ้องคดีหรือไม่ หากเหตุหย่านั้นหมดไปเพราะคู่กรณีให้อภัยซึ่งกันและกันแล้วศาลชั้นต้นก็ไม่อาจพิพากษาให้หย่าขาดจากกันได้ เพราะขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1518 ดังนั้น แม้คู่ความจะมิได้ให้การโต้แย้งไว้ ศาลชั้นต้นสามารถหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ ไม่เป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายแต่อย่างใด ส่วนเรื่องที่ถือว่าโจทก์ให้อภัยจำเลยแล้วหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า เดือนพฤษภาคม 2557 จำเลยทำหนังสือร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของโจทก์ ว่าโจทก์มีพฤติกรรมในทางชู้สาวกับหญิงอื่น ต่อมาเดือนสิงหาคม 2557 จำเลยถอนเรื่องร้องเรียนดังกล่าว แล้วโจทก์ยอมกลับมาอยู่กับจำเลยที่บ้านจึงเห็นได้ว่า ตามคำฟ้องของโจทก์มีการบรรยายระบุถึงพฤติการณ์ที่แสดงถึงการให้อภัยจำเลยโดยยอมกลับมาอยู่กับจำเลยภายหลังเกิดเหตุการณ์ เมื่อจำเลยไม่ได้ให้การโต้แย้งเกี่ยวกับข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่คู่ความรับกันแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84 (3) อีกทั้งเมื่อตรวจดูเอกสาร จำเลยได้ยื่นถอนเรื่องร้องเรียนความประพฤติด้านชู้สาวของโจทก์ต่อผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระบุรีเขต 1 ว่า จำเลยตกลงใจถอนเรื่องร้องเรียนโดยมีเงื่อนไข 3 ประการ คือให้โจทก์กลับเข้าบ้านและปฏิบัติตนเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดีดูแลบุตรภริยาตามเดิม ให้โจทก์ปฏิบัติตนในทางที่ดี ไม่ให้เป็นที่ดูถูก ดูหมิ่นเหยียดหยามซุบซิบนินทาของบุคคลทั่วไปในสังคมและให้โจทก์ให้เกียรติยกย่องบุคคลในครอบครัวอันได้แก่ บุตร ภริยา ตามกาลเทศะที่เหมาะสม โดยโจทก์ก็ได้จัดทำบันทึกข้อตกลงว่าโจทก์จะกลับเข้าพักในบ้านเดิมกับครอบครัวซึ่งมีบุตรและภริยาเช่นเดิม แม้ข้อตกลงตามเอกสารจะไม่ได้ระบุว่าโจทก์ให้อภัยการกระทำของจำเลย แต่พฤติการณ์ที่โจทก์แสดงออกโดยกลับมาอยู่บ้านเดิมกับครอบครัวซึ่งมีบุตรและภริยาเช่นเดิมเพื่ออยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยต่อไปภายหลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เป็นการแสดงว่าโจทก์ได้ให้อภัยต่อการกระทำของจำเลยที่ส่งข้อความหมิ่นประมาทบิดาของโจทก์ สิทธิฟ้องหย่าของโจทก์ในเรื่องนี้จึงหมดไป ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ