แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่โจทก์แนะนำบริษัทม.เป็นบริษัทต่างประเทศให้แก่บริษัทท. ซึ่งเป็นลูกค้าโจทก์ในประเทศไทยจนมีการซื้อขายสินค้ากันแม้บริษัทท. จะทำสัญญาซื้อขายและชำระราคาให้แก่บริษัทม.โดยตรงโดยโจทก์มิได้มีส่วนรับผิดเกี่ยวกับการซื้อขายหรือการชำระค่าสินค้าก็ตามแต่เนื่องมาจากโจทก์เป็นตัวเชื่อมให้ผู้ซื้อและผู้ขายติดต่อกันจึงถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ทำการแทนหรือผู้ทำการติดต่อให้แก่บริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศเมื่อบริษัทต่างประเทศได้รับชำระค่าสินค้าย่อมมีเงินได้หรือผลกำไรรวมอยู่ด้วยโจทก์จึงมีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นแบบรายการและเสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากรมาตรา76ทวิ ตามประมวลรัษฎากรมาตรา70ทวินั้นผู้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในการจำหน่ายกำไรออกไปจากประเทศไทยนั้นต้องเป็นผู้จำหน่ายเงินกำไรหรือเงินที่ถือได้ว่าเป็นเงินกำไรโจทก์เป็นเพียงผู้แทนทำการติดต่อลูกค้าในประเทศไทยในการขายสินค้าแทนบริษัทต่างประเทศไม่ปรากฏว่าโจทก์เป็นสาขาบริษัทต่างประเทศและเป็นผู้จำหน่ายเงินกำไรแต่อย่างไรแม้ค่าสินค้าที่ลูกค้าชำระจะมีเงินกำไรรวมอยู่ด้วยแต่โจทก์มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการส่งเงินไปชำระค่าสินค้าถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้จำหน่ายเงินกำไรออกไปจากประเทศไทยจึงไม่ต้องเสียภาษีตามมาตรา70ทวิ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยมีหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชี ตั้งแต่วันที่1 เมษายน 2525 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2526 โดยกล่าวอ้างว่าโจทก์เป็นผู้กระทำการแทนบริษัทมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น (ฮ่องกง)จำกัด มีหน้าที่ต้องชำระภาษีเงินได้เงินเพิ่มและเบี้ยปรับแทนบริษัทมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น (ฮ่องกง) จำกัด ในรอบระยะเวลาบัญชีดังกล่าวเพราะมีเงินได้จากการดำเนินกิจการจำนวน76,996.22 บาท โดยมิได้เสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 76 ทวิแห่งประมวลรัษฎากร จึงต้องชำระภาษีจากการดำเนินกิจการนั้นเป็นจำนวน 3,849.81 บาท และยังตรวจสอบพบว่า โจทก์มิได้ยื่นแบบประมาณการกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีตามประมวลรัษฎากรมาตรา 67 ทวิโจทก์จึงต้องชำระเงินเพิ่มร้อยละ 20 ของกึ่งหนึ่งของจำนวนเงินภาษีที่ต้องเสียในรอบระยะเวลาบัญชีเป็นเงินจำนวน 384.98 บาท และตรวจพบว่า โจทก์จำหน่ายเงินกำไรออกไปจากประเทศไทยเป็นเงินจำนวน 5,774.72 บาท โดยไม่ได้เสียภาษีจากเงินกำไรที่จำหน่ายนั้นตามมาตรา 70 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร โจทก์จึงต้องชำระภาษีจากการจำหน่ายเงินกำไรนั้น เป็นเงินจำนวน 962.45 บาท และเบี้ยปรับจำนวน 1,924.90 บาท เป็นเงินภาษีที่ต้องชำระ 2,887 บาทรวมเงินภาษีทั้งสิ้น 7,121.79 บาท โจทก์ยื่นอุทธรณ์การประเมินคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ มีคำวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคล เงินเพิ่มและเบี้ยปรับของจำเลย
จำเลยให้การว่า จากการตรวจสอบพบว่า โจทก์เคยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนของบริษัทมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น จำกัดประเทศญี่ปุ่นและบริษัทในเครือมิตซูบิชิมาก่อนในรอบระยะเวลาบัญชีของโจทก์ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2525 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2526โจทก์เป็นผู้ทำการแทนและเป็นผู้ติดต่อของบริษัทมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น (ฮ่องกง) จำกัด เพื่อขายสินค้าให้แก่บริษัทไทยคูราโบ จำกัด เป็นเงิน 76,996.22 บาท โจทก์ซึ่งเป็นตัวแทนมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องยื่นแบบรายการและเสียภาษีสำหรับเงินได้จำนวนดังกล่าว เมื่อโจทก์ไม่ได้ดำเนินการดังกล่าวโจทก์จึงต้องชำระภาษีจากเงินได้จำนวนดังกล่าวการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลภาษีอากรกลางรับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “การที่โจทก์แนะนำบริษัทมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น (ฮ่องกง) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทต่างประเทศให้แก่บริษัทไทยคูราโบ จำกัด ซึ่งเป็นลูกค้าของโจทก์ในประเทศไทย ได้มีการติดต่อผ่านโจทก์จนทำการซื้อขายสินค้ากันแม้ผู้ซื้อซึ่งเป็นลูกค้าของโจทก์จะทำสัญญาซื้อขาย และชำระค่าสินค้าให้แก่ผู้ขายซึ่งเป็นบริษัทต่างประเทศโดยตรงโดยโจทก์มิได้มีส่วนรับผิดเกี่ยวกับการซื้อขายหรือการชำระค่าสินค้าก็ตามแต่การที่บริษัทต่างประเทศสามารถขายสินค้าให้แก่ลูกค้าในประเทศไทยได้ก็เนื่องมาจากโจทก์เป็นตัวเชื่อมให้ผู้ซื้อและผู้ขายติดต่อกัน จึงถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ทำการแทนหรือผู้ทำการติดต่อให้แก่บริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ เมื่อบริษัทต่างประเทศได้รับชำระค่าสินค้าย่อมมีเงินได้หรือผลกำไรรวมอยู่ด้วย โจทก์จึงมีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นแบบรายการและเสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 76 ทวิ อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาข้อต่อไปมีว่า โจทก์มีหน้าที่ต้องเสียภาษีจากการจำหน่ายกำไรออกไปจากประเทศไทยตามประมวลรัษฎากร มาตรา 70 ทวิหรือไม่ เห็นว่า ตามบทบัญญัติดังกล่าว ผู้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในการจำหน่ายกำไรออกไปจากประเทศไทยนั้นต้องเป็นผู้จำหน่ายเงินกำไรหรือเงินที่ถือได้ว่าเป็นเงินกำไร โจทก์เป็นเพียงผู้แทนทำการติดต่อกับลูกค้าในประเทศไทยในการขายสินค้าแทนบริษัทต่างประเทศไม่ปรากฏว่าโจทก์เป็นสาขาของบริษัทต่างประเทศและเป็นผู้จำหน่ายเงินกำไรแต่อย่างใด โดยข้อเท็จจริงได้ความว่า ลูกค้าของโจทก์ในประเทศไทยได้ติดต่อทำสัญญาซื้อขายและชำระค่าสินค้าให้แก่บริษัทต่างประเทศโดยตรง แม้ค่าสินค้าที่ลูกค้าชำระจะมีเงินกำไรรวมอยู่ด้วย แต่โจทก์ก็มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการส่งเงินไปชำระค่าสินค้าถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้จำหน่ายเงินกำไรออกไปจากประเทศไทยจึงไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีจากการจำหน่ายกำไรออกไปจากประเทศไทยตามมาตรา 70 ทวิ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5766-5767/2534 ที่ศาลภาษีอากรกลางอ้างข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ การประเมินของจำเลยในส่วนนี้ไม่ชอบ อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ ต.3/1041/2/100078 ลงวันที่ 7 กรกฎาคม 2535นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง