คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 992/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ร้องขัดทรัพย์ว่า ที่บ้านที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้องข้อที่ว่าที่พิพาทเป็นที่บ้านตามกฎหมายเบ็ดเสร็จ ซึ่งผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ ไม่ใช่มีแต่เพียงสิทธิครอบครอง เป็นหน้าที่ผู้ร้องต้องนำสืบ

ย่อยาว

กรณีนี้สืบเนื่องมาจากคดีแดงที่ 85/2497 ซึ่งศาลพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 15,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยให้โจทก์แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ ศาลจึงสั่งให้ยึดทรัพย์ตามที่โจทก์นำชี้ คือที่ดินรายพิพาทกับเรือนแถว 4 ห้อง ซึ่งปลูกบนที่ดินนั้น

นายคำ อินตางาม ได้ยื่นคำร้องขัดทรัพย์อ้างว่าที่พิพาทเป็นของผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ตามกฎหมาย

โจทก์คัดค้านว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลย เพราะผู้ร้องได้ทำนิติกรรมยกให้แก่จำเลยโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว

ทางพิจารณาผู้ร้องขัดทรัพย์สืบว่า ที่พิพาทเป็นของผู้ร้อง ๆ ได้ให้จำเลยปลูกห้องแถว ผู้ร้องไม่เคยยกให้จำเลย หนังสือยกให้หมาย จ.1 นั้น จำไม่ได้ ฝ่ายโจทก์สืบว่า ผู้ร้องได้ไปทำหนังสือยกที่พิพาทให้จำเลยที่บ้านกำนันประมาณ 6 ปีเศษแล้ว

ศาลจังหวัดลำปางเชื่อว่า ผู้ร้องได้ทำหนังสือยกที่พิพาทให้จำเลยที่บ้านนายเป็ง กำนัน เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2493 ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าเจ้าของคงมีแต่เพียงสิทธิครอบครอง ๆ นี้เกิดขึ้นด้วยการยึดถือทรัพย์สินโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตนเองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 และจะสิ้นสุดลงด้วยการสละเจตนาครอบครองหรือไม่ยึดถือทรัพย์สินต่อไปด้วยการส่งมอบทรัพย์สินที่ครอบครองเท่านั้น ตามมาตรา 1377 และ 1378 เพราะฉะนั้น ตามเอกสารหมาย จ.1 จึงเป็นอันว่าผู้ร้องมีเจตนาสละสิทธิครอบครองให้แก่จำเลย ถึงแม้หนังสือยกให้จะไม่สมบูรณ์ตามแบบของกฎหมายก็ตาม จำเลยก็ได้สิทธิครอบครองที่พิพาทตามคำพิพากษาฎีกาที่ 5/2495 การที่ผู้ร้องสืบว่าผู้ร้องให้จำเลยเช่า ฟังไม่ได้จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้อง

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาประชุมปรึกษาแล้ว โจทก์นำยึดทั้งที่พิพาทและห้องแถวที่ปลูกบนที่ดิน สำหรับห้องแถวนั้น นายหั่นจ๊ก แซ่ห่ำได้ร้องขอให้งดการขายทรัพย์ไว้ โดยอ้างเหตุว่าเป็นสินบริคณห์ระหว่างนายหั่นจ๊กกับจำเลยเป็นเรื่องหนึ่งต่างหากคดีนี้จึงมีประเด็นเฉพาะว่าที่พิพาท ซึ่งเดิมเป็นของผู้ร้องและต่อมามีข้อเท็จจริงที่เชื่อได้ว่าผู้ร้องได้ทำหนังสือหมาย จ.1 ยกให้จำเลย แล้วแต่มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จะเป็นการเพียงพอให้ถือว่าจำเลยได้สิทธิครอบครองหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลล่างว่า ที่พิพาทนี้เดิมผู้ร้องมีเพียงสิทธิครอบครอง ข้อที่ผู้ร้องเถียงว่า ผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์เพราะเป็นที่บ้านตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จนั้น ในท้องสำนวนผู้ร้องมิได้แสดงให้เห็นว่า ที่พิพาทเป็นที่บ้านตามความหมายแห่งกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จ เมื่อเช่นนี้ศาลก็ต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อันว่าด้วยที่ดินมือเปล่า ปรากฏว่าผู้ร้องได้ยกที่พิพาทให้แก่จำเลยแล้ว แม้ทำไม่ถูกแบบตามกฎหมาย ก็ได้ความต่อไปว่าจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทมานาน แม้ผู้ร้องเองยังเบิกความรับว่าจำเลยได้ให้นางป๋า มารดาจำเลยดูแลแทนจำเลย ถึงผู้ร้องจะสืบว่าจำเลยแบ่งเงินค่าเช่าให้แก่ผู้ร้องห้องหนึ่ง ก็เป็นเงินสมนาคุณหาใช่ค่าเช่าไม่ พยานหลักฐานฟังได้สนิทว่า ผู้ร้องได้เจตนาสละการครอบครองแล้วโดยโอนการครอบครองให้เป็นของจำเลย ๆได้ครอบครองที่พิพาทมาตามที่ผู้ร้องเจตนาสละให้ จำเลยย่อมได้สิทธิครอบครองที่พิพาท

จึงพิพากษายืน ให้ยกฎีกาผู้ร้อง

Share