แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ผู้เสียหายกับจำเลยรู้จักกันมาก่อน ไปเที่ยวดื่มสุราด้วยกัน พยานโจทก์ที่ไปในที่เกิดเหตุกับจำเลยและผู้เสียหายเบิกความว่า ขณะที่กำลังรอรถโดยสารประจำทางอยู่นั้น จำเลยกับผู้เสียหายกอดกันในฐานะคนรัก หลังเกิดเหตุเมื่อสิบตำรวจเอก ป. ตามไปพบจำเลยอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุเพียงประมาณ 100 เมตร พบจำเลยถอดเสื้อเอาเสื้อพาดบ่าไว้ โดยจำเลยมีอาการมึนเมาและร้อยตำรวจโท น. พนักงานสอบสวนก็เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ขณะจับตัวจำเลย จำเลยมีอาการมึนเมา จากพฤติการณ์แห่งคดีเชื่อว่าจำเลยรู้จักคุ้นเคยกับผู้เสียหายและจำเลยกระทำในขณะมึนเมา การที่จำเลยเอาสร้อยข้อมือทองคำของผู้เสียหายไปนั้นไม่ได้ประสงค์จะเอาไปในลักษณะเป็นการประทุษร้ายต่อกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ของผู้เสียหาย จำเลยมิได้เจตนาที่จะเอาทรัพย์ไปเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยจึงไม่มีเจตนาทุจริต ไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยชิงทรัพย์สร้อยข้อมือทองคำหนัก 2 สลึง 1 เส้น ราคา 3,750 บาท ของผู้เสียหายไป โดยจำเลยบีบคอผู้เสียหายเพื่อให้ความสะดวกแก่การชิงทรัพย์ การพาทรัพย์นั้นไป ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์และยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้ก่อนคดีนี้จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลชั้นต้น คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 8184/2544 เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2544 ฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน ปรับ 5,000 บาท โทษจำคุกรอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี จำเลยมากระทำผิดในคดีนี้ภายในเวลาที่ศาลรอการลงโทษไว้ ซึ่งมิใช่ความผิดที่กระทำโดยประมาทหรือลหุโทษ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58, 339 บวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้เข้ากับโทษในคดีนี้ด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง ลงโทษจำคุก 10 ปี คำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน บวกโทษจำคุก 6 เดือน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 8184/2544 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้ เป็นจำคุก 6 ปี 14 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยรู้จักสนิทสนมกับนางสาวสุกัญญา ผู้เสียหาย วันเกิดเหตุ ก่อนที่จะเกิดเหตุจำเลยกับพวกและผู้เสียหายไปร่วมกันดื่มสุราที่ร้านคาราโอเกะตั้งแต่เวลาประมาณ 22 นาฬิกา ถึงเวลาประมาณ 1 นาฬิกา ณ สถานที่เกิดเหตุ จำเลยพยายามกอดผู้เสียหายและพูดจาชักชวนให้ผู้เสียหายไปร่วมหลับนอนด้วย ผู้เสียหายพยายามดิ้นขัดขืนและไม่ยินยอมที่จะไปด้วย จำเลยกอดและพูดจารบเร้าผู้เสียหายต่อไป แต่ผู้เสียหายคงไม่ยินยอมที่จะไปหลับนอนด้วย จำเลยจึงปล่อยมือจากการกอดผู้เสียหายและมีสร้อยข้อมือทองคำของผู้เสียหายจำนวน 1 เส้น อยู่ในมือของจำเลยแล้วจำเลยเดินไปตามถนนพระราม 3 สักครู่หนึ่งมีเจ้าพนักงานตำรวจผ่านมาพบผู้เสียหายยืนร้องไห้อยู่จึงสอบถาม เมื่อทราบเหตุการณ์จึงขับรถจักรยานยนต์ไปตามถนนพระราม 3 ห่างจากจุดที่เกิดเหตุประมาณ 100 เมตร พบจำเลยเดินอยู่จึงเข้าตรวจค้นตัวจำเลยพบสร้อยข้อมือทองคำของผู้เสียหายภายในกระเป๋ากางเกงจึงจับกุมจำเลยมาดำเนินคดี คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่าจำเลยเอาสร้อยข้อมือทองคำของผู้เสียหายไปโดยเจตนาทุจริตหรือไม่ เห็นว่า ผู้เสียหายกับจำเลยรู้จักกันมาก่อน ไปเที่ยวดื่มสุราด้วยกัน นายภาณุพงษ์ พยานโจทก์ที่ไปในที่เกิดเหตุกับจำเลยและผู้เสียหายเบิกความว่า ขณะที่กำลังรอรถโดยสารประจำทางอยู่นั้น จำเลยกับผู้เสียหายกอดกันในฐานะคนรัก หลังเกิดเหตุเมื่อสิบตำรวจเอกปรีชา ยอดเปลี่ยน ตามไปพบจำเลยอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุเพียงประมาณ 100 เมตร พบจำเลยถอดเสื้อเอาเสื้อพาดบ่าไว้โดยจำเลยมีอาการมึนเมาและร้อยตำรวจโทนพพร เริ่มรอบ พนักงานสอบสวนก็เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ขณะจับตัวจำเลย จำเลยมีอาการมึนเมา จากพฤติการณ์แห่งคดีเชื่อว่าจำเลยรู้จักคุ้นเคยกับผู้เสียหายและจำเลยกระทำในขณะมึนเมา การที่จำเลยเอาสร้อยข้อมือทองคำของผู้เสียหายไปนั้นไม่ได้ประสงค์จะเอาไปในลักษณะเป็นการประทุษร้ายต่อกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ของผู้เสียหาย จำเลยมิได้เจตนาที่จะเอาทรัพย์ไปเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยจึงไม่มีเจตนาทุจริต ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยบีบคอผู้เสียหายจริง ดังนั้น แม้จำเลยจะไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์ แต่จำเลยก็มีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ซึ่งศาลพิพากษาลงโทษจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย และเห็นสมควรให้โอกาสจำเลยประพฤติตนเป็นพลเมืองดี ให้รอการลงโทษ และเมื่อรอการลงโทษจำคุกในคดีนี้ย่อมไม่อาจนำโทษจำคุกในคดีก่อนมาบวกกับโทษจำคุกในคดีนี้ได้”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 จำคุก 3 เดือน ปรับ 4,000 บาท โทศจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามมาตรา 29, 30 คำขออื่นให้ยก