แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จะให้จำเลยกู้เงินถ้ามีหลักฐานมาประกัน จำเลยจึงพูดอวดอ้างว่าตนมีบัญชีเงินฝากในธนาคารแล้วควักเอาเช็คออกมาเซ็นชื่อให้ โจทก์หลงเชื่อจำเลยในการอวดอ้างแสดงข้อความเท็จนี้ จึงจ่ายเงินให้จำเลยกู้ยืมไปนั้น ดังนี้ เป็นความผิดฐานฉ้อโกงแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีเจตนาทุจริตใช้อุบายนำเอาความเท็จซึ่งรู้อยู่แล้วว่าเป็นเท็จมากล่าวหลอกลวงโจทก์ว่าจำเลยมีเงินฝากในธนาคาร จำเลยออกเช็คให้แก่โจทก์ โดยขอแลกเงินเท่าจำนวนเงินในเช็ค โจทก์หลงเชื่อ จึงได้ยอมจ่ายเงินให้จำเลยไป ต่อมาธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์เสียหาย ขอให้ลงโทษ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยเซ็นชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายในเช็คจริงแต่ไม่มีความผิดฐานฉ้อโกง เพราะเป็นเรื่องจำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์ ส่วนความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดแต่การใช้เช็คไม่มีเงินนั้น โจทก์สืบไม่สมให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิด ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 อันเป็นบทหนัก จำคุก 4 เดือน ลดให้ 1 ใน 4 คงจำคุกจำเลย 3 เดือน
จำเลยฎีกา
มีปัญหาข้อกฎหมายมาสู่ศาลฎีกา ตามที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่มีความผิดฐานฉ้อโกงเพราะโจทก์ยอมให้จำเลยกู้เงินอยู่แล้ว การที่จำเลยเขียนเช็คให้เป็นแต่หลักประกันต่างหาก ไม่ได้ส่งมอบเงินเพราะหลงเชื่อนั้น ข้อนี้ ข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่า โจทก์จะให้กู้ถ้าจำเลยมีหลักฐานมาประกัน จำเลยก็พูดอวดอ้างว่าจำเลยมีบัญชีเงินฝากที่ธนาคารเกษตรจำกัด แล้วควักเอาเช็คออกมาเซ็นชื่อให้โจทก์หลงเชื่อจำเลยในการอวดอ้างแสดงข้อความเท็จนี้ จึงจ่ายเงินให้จำเลยกู้ยืม มิฉะนั้น โจทก์ก็จะไม่จ่ายเงินให้จำเลย ดังนี้เป็นความผิดฐานฉ้อโกงแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน