คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10132/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ได้ย้ายไปประกอบกิจการและจำเลยที่2 ได้ย้ายไปอยู่ ณ ที่บ้านเลขที่ 65 หมู่ที่ 8 ตำบลเชียงรากน้อยอำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตั้งแต่ปี พ.ศ.2531 แต่ขณะที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์และจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกัน จำเลยทั้งสองได้ระบุภูมิลำเนาของจำเลยทั้งสองในสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกันไว้ตรงกับหลักฐานทางทะเบียนของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท และหลักฐานทางทะเบียนบ้าน โดยมิได้ระบุภูมิลำเนาเลขที่ 65 ดังกล่าวไว้ในสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกัน ทั้งที่จำเลยที่ 1 ได้ย้ายไปประกอบกิจการและจำเลยที่ 2 ได้ย้ายไปอยู่ ณ บ้านเลขที่65 นั้นแล้ว แต่ก็มิได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของจำเลยที่ 1 ดังนี้ถือว่าจำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนา 2แห่ง คือตามที่ได้จดทะเบียนที่ตั้งสำนักงานใหญ่และที่ได้ประกอบกิจการแท้จริง ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งมีฐานะเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ด้วย ถือว่ามีภูมิลำเนา ณภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสถานที่เดียวกับที่ระบุในทะเบียนบ้าน ถือว่าจำเลยที่ 2 มีภูมิลำเนา 2 แห่ง คือตามที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของจำเลยที่ 1 และที่จำเลยที่ 1ประกอบกิจการแท้จริง เมื่อจำเลยทั้งสองใช้บ้านเลขที่ 34/1 หมู่ที่ 4ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เป็นภูมิลำเนาในสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกันจึงถือว่าจำเลยทั้งสองได้เลือกเอาบ้านเลขที่ 34/1 ดังกล่าวเป็นภูมิลำเนาสำหรับการกู้ยืมเงินและการค้ำประกันกับโจทก์การที่เจ้าพนักงานศาลได้นำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องรวมทั้งหมายนัดสืบพยานโจทก์และคำบังคับไปส่งให้แก่จำเลยทั้งสองที่บ้านเลขที่ 34/1 จึงเป็นการส่งหมายเรียก สำเนาคำฟ้อง หมายนัดและคำบังคับโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว แต่เมื่อจำเลยทั้งสองมิได้อยู่ที่ภูมิลำเนาดังกล่าว และจำเลยทั้งสองไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้อง ดังนี้แม้การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องหมายนัดสืบพยานโจทก์และคำบังคับให้แก่จำเลยทั้งสองจะเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้องจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกัน จำนวน 34,317,054.73 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 20 ต่อปี ในต้นเงิน 25,000,000 บาทนับถัดจากวันที่ 30 มิถุนายน 2535 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้นำที่ดินโฉนดเลขที่ 14964 และ 14965ตำบลเชียงรากน้อย (คลองซอยที่ 1 ฝั่งตก) อำเภอบางปะอิน(พระราชวัง) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ของจำเลยที่ 2 ซึ่งได้นำไปจำนองเป็นประกันหนี้ไว้แก่โจทก์ออกขายชำระหนี้
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน34,317,054.73 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 20 ต่อปี จากต้นเงิน25,000,000 บาท นับถัดจากวันที่ 30 มิถุนายน 2535 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 14964และ 14965 พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดชำระหนี้
ต่อมาเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2536 จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้น ขอให้พิจารณาใหม่อ้างว่าไม่ได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนคำร้องแล้ว
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้พิจารณาคดีใหม่เฉพาะจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลสำหรับจำเลยที่ 2 ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกันพร้อมด้วยดอกเบี้ยโดยระบุในคำฟ้องว่าจำเลยทั้งสองมีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ 34/1 หมู่ที่ 4ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ต่อมาได้มีการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องรวมทั้งส่งหมายนัดสืบพยานโจทก์และคำบังคับให้แก่จำเลยทั้งสอง ณ ภูมิลำเนาที่โจทก์ระบุในคำฟ้องโดยวิธีการปิดหมาย จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด โดยจดทะเบียนไว้ที่สำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดปทุมธานี เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2530 มีจำเลยที่ 2เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการและมีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่เลขที่34/1 หมู่ที่ 4 ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานีและมีสำนักงานสาขาตั้งอยู่ที่เลขที่ 65 หมู่ที่ 8ตำบลเชียงรากน้อย อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตามหลักฐานทะเบียนบ้านระบุว่าจำเลยที่ 2 เข้ามาอยู่ที่บ้านเลขที่34/1 หมู่ที่ 4 ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานีเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2529 และย้ายออกไปอยู่ที่บ้านเลขที่99/9 หมู่ที่ 8 ตำบลเชียงรากน้อย อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2534 ขณะที่จำเลยที่ 1กู้ยืมเงินไปจากโจทก์โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2532 ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2533และครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2533 ในสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกันระบุว่าจำเลยทั้งสองมีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่34/1 หมู่ที่ 4 ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยทั้งสองจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาหรือไม่ พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงจึงน่าเชื่อว่าจำเลยที่ 1 ได้ย้ายไปประกอบกิจการและจำเลยที่ 2 ได้ย้ายไปอยู่ ณ ที่บ้านเลขที่65 หมู่ที่ 8 ตำบลเชียงรากน้อย อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตั้งแต่ปี 2531 อย่างไรก็ตามปรากฎว่าขณะที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์และจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันเมื่อปี 2532 และ 2533 จำเลยทั้งสองได้ระบุภูมิลำเนาของจำเลยทั้งสองในสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกันว่าอยู่ที่บ้านเลขที่ 34/1 หมู่ที่ 4 ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวงจังหวัดปทุมธานี ตรงกับหลักฐานทางทะเบียนของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดปทุมธานี และหลักฐานทางทะเบียนบ้าน โดยมิได้ระบุภูมิลำเนาเลขที่ 65 หมู่ที่ 8 ตำบลเชียงรากน้อยอำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ไว้ในสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกันทั้งที่จำเลยที่ 1 ได้ย้ายไปประกอบกิจการและจำเลยที่ 2 ได้ย้ายไปอยู่ ณ บ้านเลขที่ 65 หมู่ที่ 8ตำบลเชียงรากน้อย อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยาแล้ว และมิได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของจำเลยที่ 1 ถือว่าจำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนา 2 แห่ง คือตามที่ได้จดทะเบียนที่ตั้งสำนักงานใหญ่และที่ได้ประกอบกิจการแท้จริงส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งมีฐานะเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1ด้วย ถือว่ามีภูมิลำเนา ณ ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสถานที่เดียวกับที่ระบุในทะเบียนบ้านถือว่าจำเลยที่ 2 มีภูมิลำเนา 2 แห่ง คือตามที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของจำเลยที่ 1 และที่จำเลยที่ 1 ประกอบกิจการแท้จริง เมื่อจำเลยทั้งสองใช้บ้านเลขที่ 34/1 เป็นภูมิลำเนาในสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกันจึงถือว่าจำเลยทั้งสองได้เลือกเอาบ้านเลขที่ 34/1 หมู่ที่ 4ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เป็นภูมิลำเนาสำหรับการกู้ยืมเงินและการค้ำประกันกับโจทก์ ดังนั้นการที่เจ้าพนักงานศาลได้นำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องรวมทั้งหมายนัดสืบพยานโจทก์และคำบังคับไปส่งให้แก่จำเลยทั้งสองที่บ้านเลขที่34/1 หมู่ที่ 4 ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานีจึงเป็นการส่งหมายเรียก สำเนาคำฟ้องหมายนัดและคำบังคับโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว แต่เมื่อข้อเท็จจริงดังได้วินิจฉัยไปแล้วว่าจำเลยทั้งสองมิได้อยู่ที่ภูมิลำเนาดังกล่าว หากแต่จำเลยทั้งสองได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านเลขที่ 65 หมู่ที่ 8 ตำบลเชียงรากน้อยอำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตั้งแต่ปี 2531 และขณะที่โจทก์ยื่นฟ้อง จำเลยที่ 1 ยังคงประกอบกิจการอยู่ ณ บ้านเลขที่65 หมู่ที่ 8 ตำบลเชียงรากน้อย อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ส่วนจำเลยที่ 2 ได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านเลขที่99/9 หมู่ที่ 8 ตำบลเชียงรากน้อย อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งอยู่ติดกันเช่นนี้ประกอบกับเอกสารหมาย ล.5และ ล.6 ซึ่งตรงกับเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 10 และ 11 ซึ่งเป็นหนังสือของโจทก์มีไปถึงจำเลยที 1 และที่ 2 ขอให้ชำระหนี้และไถ่ถอนจำนองลงวันที่ 30 กันยายน 2534 ได้ส่งไปที่จำเลยทั้งสองณ บ้านเลขที่ 65 หมู่ที่ 8 ตำบลเชียงรากน้อย อำเภอบางปะอินจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทั้งรายงานการปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2535 ก็ระบุว่าส่งให้ไม่ได้เพราะบ้านปิดใส่กุญแจและการส่งหมายนัดสืบพยานโจทก์เมื่อวันที่5 พฤศจิกายน 2535 และวันที่ 16 ธันวาคม 2535 ก็ส่งหมายให้แก่จำเลยทั้งสองโดยวิธีธรรมดาไม่ได้ต้องปิดหมายและในการส่งคำบังคับเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2536 โดยการปิดคำบังคับก็ระบุไว้ในรายงานการส่งคำบังคับว่าบริษัทปิด ทั้งจำเลยที่ 2 ก็เบิกความยืนยันว่าไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้อง น่าเชื่อว่าจำเลยทั้งสองไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้องในคดีนี้ แม้การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง หมายนัดสืบพยานโจทก์และคำบังคับให้แก่จำเลยทั้งสองจะเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้อง จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้พิจารณาคดีใหม่สำหรับจำเลยที่ 1 ด้วยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่

Share