แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ร้านขายยาที่เกิดเหตุเป็นของจำเลยที่ 2 ที่ให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างดำเนินการซื้อและขายยาแทน จำเลยที่ 1 ได้ขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 จำนวน 10 เม็ด ให้แก่สายลับ เมื่อเจ้าพนักงานเข้าไปตรวจค้นพบวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 และประเภท 4 ภายในร้านขายยานั้น โดยจำเลยที่ 2 ก็ทราบดีว่ามีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 และประเภท 4 อยู่ในร้านดังกล่าว แม้ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 มิได้อยู่ในร้าน แต่ตามพฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของร้านขายยาและเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 จำนวน 10 เม็ด ให้แก่สายลับ และมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 และประเภท 4 ไว้ในครอบครองเพื่อขาย
การขายและการมีวัตถุออกฤทธิ์ไว้ในครอบครองเพื่อขายเป็นความผิดฐานขายวัตถุออกฤทธิ์ตามนิยาม คำว่า “ขาย” ใน พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 4 มิใช่เป็นความผิดหลายบท
ความผิดฐานขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 เป็นความผิดที่มีบทความผิดและบทลงโทษคนละมาตรากับความผิดฐานขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 จึงเป็นความผิดต่างกรรมกัน
เมื่อการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 16 วรรคหนึ่ง, 89, 90 ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้ว ก็ไม่จำต้องปรับบทลงโทษตามมาตรา 62 วรรคหนึ่ง, 106 วรรหนึ่ง และวรรคสอง ซึ่งเป็นบททั่วไปอีก
ศาลล่างทั้งสองมิได้สั่งริบวัตถุออกฤทธิ์ให้แก่กระทรวงสาธารณสุขตามมาตรา 116 เป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 4, 6, 13 ทิว, 16, 62, 89, 90, 106, 116 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 และขอให้ริบวัตถุออกฤทธิ์ของกลางที่เหลือจากการตรวจพิสูจน์ คืนเงินจำนวน 300 บาท ที่ใช้ล่อซื้อแก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 4, 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 16 วรรคหนึ่ง, 62 วรรคหนึ่ง, 89, 90, 106 (ที่ถูกมาตรา 106 วรรคหนึ่ง วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตา 83) การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 และฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองเพื่อขาย เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 8 ปี ฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 ไว้ในครอบครองเพื่อขาย จำคุกคนละ 3 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 คงจำคุก 5 ปี 4 เดือน ฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 ไว้ในครอบครองเพื่อขาย คงจำคุก 2 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 7 ปี 4 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 11 ปี ริบวัตถุออกฤทธิ์ของกลางที่เหลือจากการตรวจพิสูจน์ คืนธนบัตรจำนวน 300 บาท ที่ใช้ล่อซื้อของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ฎีกาโต้แย้งคัดค้านฟังเป็นยุติได้ว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ได้ขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 จำนวน 10 เม็ด ราคา 300 บาท และเจ้าพนักงานตรวจยึดวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 และประเภท 4 ของกลางได้จากร้านขายยาอินเตอร์เภสัชของจำเลยที่ 2 ที่ร้านขายยาดังกล่าวไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีและขายวัตถุออกฤทธิ์ จำเลยที่ 2 ทราบว่าวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 และประเภท 4 ของกลางเก็บอยู่ในร้านขายยานั้น จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ทำหน้าที่ขายยาอยู่ที่ร้านขายยาอินเตอร์เภสัช
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดและต้องรับโทษตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่ไม่เคยรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยทั้งสองมาก่อน โดยเฉพาะนางนัยนาเป็นเจ้าพนักงานสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาไม่มีส่วนได้รับความดีความชอบโดยตรงจากการตรวจค้นจับกุมครั้งนี้ จึงไม่มีเหตุน่าระแวงสงสัยว่าจะเบิกความปรักปรำจำเลยทั้งสอง เชื่อว่าเบิกความไปตามความเป็นจริงขณะเกิดเหตุเป็นเวลา 17.30 นาฬิกา พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน พยานทั้งสองยืนอยู่ตรงข้ามกับร้านขายยาที่เกิดเหตุห่างประมาณ 10 เมตร จึงเห็นเหตุการณ์ได้ชัดเจน ประกอบกับชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ คดีจึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ได้ขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 (เฟนเตอมีน) ของกลางจำนวน 10 เม็ด ให้แก่สายลับในราคา 300 บาท ร้านขายยาที่เกิดเหตุเป็นของจำเลยที่ 2 ที่ให้จำเลยที่ 1 ลูกจ้างดำเนินการซื้อและขายยาแทน ทั้งเจ้าพนักงานตรวจค้นพบวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 และประเภท 4 ของกลางภายในร้านขายยานั้น โดยจำเลยที่ 2 ก็ทราบดีว่า มีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 และประเภท 4 ของกลางอยู่ในร้านดังกล่าว ดังนั้น แม้ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 มิได้อยู่ในร้าน แต่ตามพฤติการณ์ดังกล่าวก็ฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของร้านขายยาและเป็นนายจ้างจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 จำนวน 10 เม็ด ของกลางให้แก่สายลับ และมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 และประเภท 4 ไว้ในครอบครองเพื่อขายตามฟ้อง…
และที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า คำว่า “ขาย” ตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 4 หมายความรวมถึงการมีไว้เพื่อขายด้วย ดังนั้นการมีวัตถุออกฤทธิ์ไว้ในครอบครองเพื่อขายและขายวัตถุออกฤทธิ์นั้นไปบางส่วนในระยะเวลาต่อเนื่องใกล้เคียงกัน จึงเป็นความผิดกรรมเดียวกันคือการขาย หามีความผิดฐานมีไว้ในครอบครองเพื่อขายอีกกรรมหนึ่งไม่นั้น สำหรับการขายและมีไว้ในครอบครองเพื่อขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทและให้ลงโทษฐานขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 เพียงบทเดียว มิได้ลงโทษหลายกรรมดังที่จำเลยทั้งสองฎีกา แต่อย่างไรก็ตาม การมีวัตถุออกฤทธิ์ไว้ในครอบครองเพื่อขายนั้นเป็นความผิดฐานขายวัตถุออกฤทธิ์ตามคำนิยามดังกล่าว ที่ศาลล่างทั้งสองปรับเป็นความผิดหลายบทจึงไม่ถูกต้อง ส่วนการมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 ไว้ในครอบครองเพื่อขายก็เป็นความผิดที่มีบทความผิดและบทลงโทษคนละมาตรากับความผิดฐานขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 จึงเป็นความผิดต่างกรรมกันอย่างชัดแจ้ง ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยทั้งสองกรณีนี้อีกกรรมหนึ่งจึงชอบแล้ว แต่ถือเป็นความผิดฐานขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 ไม่ใช่ฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 ไว้ในครอบครองเพื่อขาย
จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ขอให้พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 62, 106 ซึ่งตามมาตรา 106 วรรคหนึ่ง ได้กำหนดโทษจำคุกไว้เพียงตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี แต่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองเกินคำขอนั้นก็ปรากฏว่า นอกจากโจทก์จะขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามมาตรา 62, 106 แล้ว ยังขอให้ลงโทษตามมาตรา 13 ทวิ, 89 ด้วย ซึ่งมาตรา 89 กำหนดโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี การที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยทั้งสองตามมาตรา 89 จึงมิได้พิพากษาเกินคำขอแต่อย่างใด ส่วนฎีกาของจำเลยทั้งสองข้ออื่นๆ เป็นเพียงรายละเอียดและไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงจึงไม่จำต้องวินิจฉัย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง เมื่อการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 16 วรรคหนึ่ง, 89, 90 ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้ว ก็ไม่จำต้องปรับบทลงโทษตามมาตรา 62 วรรคหนึ่ง, 106 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง ซึ่งเป็นบททั่วไปอีก กับการที่ศาลล่างทั้งสองได้สั่งริบวัตถุออกฤทธิ์ให้แก่กระทรวงสาธารณสุขตามมาตรา 116 เป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 16 วรรคหนึ่ง, 89, 90, 116 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ฐานขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 เพียงบทเดียวกรรมหนึ่ง และฐานขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 อีกกรรมหนึ่ง ริบวัตถุออกฤทธิ์ของกลางที่เหลือจากการตรวจพิสูจน์ให้แก่กระทรวงสาธารณสุข ส่วนโทษและนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์