แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยต้องคำพิพากษาในคดีเรื่องก่อนมีกำหนด 20 ปี แล้วมาต้องคำพิพากษาในคดีเรื่องหลังถูกตัดสินลงโทษจำคุกอีกการนับโทษในคดีหลังต้องนับต่อจากโทษในคดีแรก
ย่อยาว
จำเลยต้องคำพิพากษาฐานปล้นทรัพย์มาแล้วมีกำหนด ๒๐ ปี มาในคดีนี้จำเลยต้องหาฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน ศาลวางโทษจำเลยตาม ม.๒๕๐,๖๐ มีกำหนดโทษภายหลังเมื่อลดแล้ว ๘ ปี
ศาลชั้นต้นให้นับโทษตามคำพิพากษานี้รวมไปกับโทษเดิม
ศาลอุทธรณ์แก้ให้นับโทษต่อจากคดีเรื่องก่อน
จำเลยฎีกาคัดค้านว่าตามกฎหมายอาญา ม.๓๕,๓๖,และ ๓๒,๓๓ ศาลจะนับโทษต่อจากโทษเดิมซึ่งจำเลยต้องคำพิพากษาให้จำคุก ๒๐ ปี แล้วไม่ได้
ศาลฎีกาตัดสินว่ามาตรา ๓๕,๓๖ จะนำมาใช้บังคับในคดีนี้ไม่ได้ เพราะมาตราทั้ง ๒ นั้นเป็นเรื่องเพิ่มโทษ ส่วนมาตรา ๓๒ , ๓๓ เป็นเรื่องการนับกำหนดโทษ ผู้ต้องคำพิพากษาให้เริ่มนับตั้งแต่วันที่จำเลยต้องคุมขังสำหรับคดีเรื่องนั้น ๆ แต่จำเลยในคดีนี้ต้องถูกคุมขังอยู่สำหรับคดีเรื่องปล้นจึงจะขอให้นับโทษในคดีนี้รวมไปกับคดีก่อนมิได้ และทั้งจำเลยก็มิได้แสดงเหตุผลว่า ทำไม่จึงควรนับรวมไปกับโทษในคดีก่อนตามที่บัญญัติไว้ใน ม.๓๒ ตอนท้ายด้วย อนึ่งไม่มีบทมาตราใดในกฏหมายอาญาที่บัญญัติมิให้ลงโทษจำเลยในคำพิพากษาในคดีต่าง ๆ หลายคดีรวมกันเกิน ๒๐ ปี ส่วน ม.๗๑ ก็เป็นเรื่องความผิดหลายกะทงในคำพิพากษาเดียวกันไม่ตรงกับเรื่องนี้ จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ให้ยกฎีกาจำเลย