แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) การบรรยายฟ้องให้บรรยายถึงสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี เพื่อจำเลยจะต่อสู้คดีได้ถูกต้องเท่านั้น โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยรับของโจรโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2 เครื่อง และซิมการ์ด 2 แผ่น รวมราคา 15,500 บาท ของผู้เสียหายที่ถูก ศ. ลักไป แม้โจทก์ไม่ระบุหมายเลขของทรัพย์ดังกล่าว แต่เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธ โจทก์มีหน้าที่นำสืบว่าทรัพย์นั้นมีหมายเลขอะไรเพื่อแสดงว่าทรัพย์นั้นเป็นของผู้เสียหายและได้สูญหายไปอยู่ที่จำเลยโดยจำเลยรับซื้อไว้ ซึ่งจำเลยก็สามารถซักค้านและนำสืบหักล้างได้อย่างเต็มที่ ไม่ถือว่าทำให้จำเลยต้องเสียเปรียบในการต่อสู้คดี ส่วนที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า หลังจากจำเลยรับของโจรทรัพย์ดังกล่าวแล้ว จำเลยนำไปจำหน่ายให้แก่ผู้มีชื่อ ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจยึดทรัพย์จากผู้มีชื่อเป็นของกลาง ก็เป็นการบรรยายถึงการกระทำที่อ้างว่าจำเลยรับของโจรเพื่อค้ากำไร ซึ่งทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว โดยไม่จำต้องระบุชื่อผู้รับของกลางไว้จากจำเลยอีก ดังนี้ ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคสอง จำคุก 1 ปี 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในข้อแรกว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) การบรรยายฟ้องนั้นให้บรรยายถึงสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี เพื่อจำเลยจะต่อสู้คดีได้ถูกต้องเท่านั้น ไม่จำต้องบรรยายให้ละเอียดเพื่อให้จำเลยรู้ข้อเท็จจริงทั้งหมด ดังนั้น ที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยรับของโจรโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2 เครื่อง และซิมการ์ด 2 แผ่น รวมราคา 15,500 บาท ของผู้เสียหายที่ถูกนางสาวศรีนครลักไป โดยจำเลยรับซื้อไว้จากนางสาวศรีนครโดยรู้อยู่ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิด แม้ไม่ระบุหมายเลขของทรัพย์ดังกล่าวก็ทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาและรูปคดีของโจทก์ได้ดี เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธ โจทก์มีหน้าที่นำสืบว่าทรัพย์นั้นมีหมายเลขอะไรเพื่อแสดงว่าทรัพย์นั้นเป็นของผู้เสียหายและได้สูญหายไปอยู่ที่จำเลยโดยจำเลยรับซื้อไว้ ซึ่งจำเลยก็สามารถซักค้านและนำสืบหักล้างได้อย่างเต็มที่ การที่จำเลยไม่รู้หมายเลขทรัพย์ของกลาง ไม่ถือว่าทำให้จำเลยต้องเสียเปรียบในการต่อสู้คดี ส่วนที่โจทก์ได้บรรยายว่า หลังจากจำเลยรับของโจรโทรศัพท์เคลื่อนที่และซิมการ์ดแล้ว จำเลยได้นำไปจำหน่าย ขายให้แก่ผู้มีชื่อ ต่อมาเจ้าพนักงานยึดได้ทรัพย์ดังกล่าวจากผู้มีชื่อเป็นของกลาง ก็เป็นการบรรยายถึงการกระทำที่อ้างว่าจำเลยรับของโจรเพื่อการค้ากำไร ซึ่งทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีเช่นกัน โดยไม่จำต้องระบุชื่อของผู้มีชื่อผู้ที่รับของกลางไว้จากจำเลย ที่จำเลยอ้างว่าโจทก์บรรยายฟ้องขัดแย้งกันเอง กล่าวคือ ตอนต้นบรรยายฟ้องว่า จำเลยรับของโจรโทรศัพท์เคลื่อนที่และซิมการ์ด จำนวน 2 แผ่น จำนวน 2 เครื่อง แต่ตอนหลังบรรยายว่า เจ้าพนักงานยึดโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2 เครื่อง พร้อมซิมการ์ด 2 แผ่น เป็นของกลางนั้นไม่ขัดแย้งกัน เพราะข้อความตอนต้นอ่านแล้วมีความหมายตรงกับข้อความตอนหลัง ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยมีกำหนด 6 เดือน ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยมีกำหนด 3 เดือน ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขัง 3 เดือน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4