คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1009/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ระหว่างการพิจารณาคดีในศาลชั้นต้น โจทก์จำเลยตกลง กันได้ และต่าง แถลงต่อ ศาลร่วมกันว่าจำเลยได้ ชำระเงินแก่โจทก์เกือบหมดแล้วส่วนที่เหลือจำเลยจะนำเงินมาชำระให้โจทก์ในวันรุ่งขึ้นจากวันที่ตกลง กันโดย จำเลยจะออกเช็ค เงินสดให้โจทก์ไว้ ทนายโจทก์แถลงว่าเมื่อได้ รับเงินตาม เช็ค ที่จำเลยออกให้แล้วโจทก์จะคืนเช็ค เดิม ที่จำเลยที่ 3 ออกให้ไว้ล่วงหน้าแก่จำเลย และโจทก์จะถอนฟ้องจำเลยศาลชั้นต้นจึงเลื่อนการอ่านคำพิพากษาไป เมื่อถึง วันนัดฟังคำพิพากษา ทนายโจทก์ยื่นคำร้องว่าจำเลยได้ ชำระหนี้ตาม เช็ค แล้วทนายโจทก์เห็นควรให้ถอนฟ้อง แต่ โจทก์ไม่ยอมถอนฟ้อง ดังนี้เมื่อคดีเป็นความผิดต่อส่วนตัว และใบแต่งทนายความปรากฏว่าทนายโจทก์มีอำนาจประนีประนอมยอมความแทนโจทก์ได้ ทนายโจทก์ย่อมจะขอยอมความได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 35 วรรคสอง และมีผลผูกพันโจทก์การที่ทนายโจทก์แถลงต่อหน้าศาลว่าจะถอนฟ้องไม่ ดำเนินคดีแก่จำเลยและเมื่อโจทก์ได้ รับเงินตาม เช็ค ที่จำเลยออกให้แก่โจทก์ ต่อมาทนายโจทก์ได้ ยื่นคำร้องว่าจำเลยได้ ชำระหนี้ตาม เช็ค นั้นแล้ว โจทก์มีหน้าที่ถอนฟ้อง และมีผลเป็นการยอมความ ทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39(2).

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันสั่งจ่ายเช็ค เพื่อชำระหนี้ให้โจทก์ โดยเจตนากระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ต่อมาธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้น ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่ามีมูลให้ประทับฟ้องระหว่างพิจารณาโจทก์ขอถอนฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 3 ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 3
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การปฏิเสธแต่หลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วจำเลยที่ 1 ที่ 2 แถลงขอถอนคำให้การเดิม และขอรับสารภาพตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 10,000 บาทจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน5,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 6 เดือน ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับให้ยึดทรัพย์ตามมาตรา 29 จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ครบแล้วให้รอการลงโทษไว้ 1 ปีจำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2เดือน จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 เดือน โทษจำคุกรอไว้มีกำหนด 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่าจำเลยที่ 1ที่ 2 ได้ออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์และธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ระหว่างพิจารณาโจทก์จำเลยตกลงกันได้ และทั้งสองฝ่ายต่างแถลงร่วมกันว่า จำเลยได้ชำระเงินแก่โจทก์เกือบหมดแล้ว ยังเหลืออีก 52,000 บาท จำเลยจะนำเงินที่เหลือมาชำระให้โจทก์ในวันรุ่งขึ้นจากวันที่ตกลงกัน โดยจำเลยจะออกเช็คเงินสดให้โจทก์ 52,000 บาท โจทก์รับว่าเมื่อเช็คที่จำเลยออกให้ในวันนี้รับเงินได้แล้ว ก็จะคืนเช็คอีก 2 ฉบับที่จำเลยที่ 3ออกให้ไว้ล่วงหน้า ฉบับละ 26,000 บาท ให้จำเลย และโจทก์จะถอนฟ้องคดีนี้ ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 1ตุลาคม 2530 ศาลชั้นต้นจึงเลื่อนการอ่านคำพิพากษาไป เมื่อถึงวันนัดฟังคำพิพากษาทนายโจทก์แถลงว่า ได้รับเงินจากจำเลยครบถ้วนแล้วทนายโจทก์เห็นว่าควรจะถอนฟ้อง แต่โจทก์ไม่ยอมถอนฟ้องทนายโจทก์จึงขอถอนตัว ศาลชั้นต้นอนุญาตและได้อ่านคำพิพากษาไปในวันนั้น ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีว่า ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการยอมความกันแล้ว และทำให้สิทธินำคดีมาฟ้องของโจทก์ระงับไปดังที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาหรือไม่ พิเคราะห์แล้วตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นดังกล่าว ทนายโจทก์แถลงว่า เมื่อได้รับเงินตามเช็คที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ออกให้ในวันนั้นแล้ว โจทก์จะคืนเช็คเดิม 2 ฉบับที่จำเลยที่ 3 ออกให้ไว้ล่วงหน้าแก่จำเลยที่ 1ที่ 2 และจะถอนฟ้องให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ซึ่งต่อมาทนายโจทก์ได้มายื่นคำร้องว่าจำเลยได้ชำระหนี้ตามเช็คแล้ว ทนายโจทก์เห็นควรให้ถอนฟ้อง แต่โจทก์เปลี่ยนใจไม่ยอมถอนฟ้อง เห็นว่า คดีนี้เป็นความผิดต่อส่วนตัวและตามใบแต่งทนายความปรากฏว่าทนายโจทก์มีอำนาจประนีประนอมยอมความแทนโจทก์ได้ ทนายโจทก์ย่อมจะขอยอมความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 35 วรรคสอง และมีผลผูกพันโจทก์ เมื่อทนายโจทก์ได้แถลงต่อหน้าศาลตามที่ปรากฏในรายงานกระบวนพิจารณาว่าจะถอนฟ้องไม่ดำเนินคดีนี้แก่จำเลย เมื่อโจทก์ได้รับเงินตามเช็คที่จำเลยออกให้แก่โจทก์ดังกล่าวข้างต้น และต่อมาทนายโจทก์ได้มายื่นคำร้องว่าจำเลยได้ชำระหนี้ตามเช็คนั้นแล้วโจทก์มีหน้าที่ถอนฟ้องและมีผลเป็นการยอมความ ทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(2) ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ฟังขึ้น”
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์.

Share