คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1009/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อขูดลบแก้ไขตกเติมในพินัยกรรมโดยมิได้ปฏิบัติตามแบบอย่างเดียวกับการทำพินัยกรรมตามความใน มาตรา 1656 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ วรรคสองนั้น ย่อมไม่สมบูรณ์เฉพาะส่วนที่ทำไม่ถูกต้องนั้นเท่านั้น หาทำให้พินัยกรรมที่สมบูรณ์พลอยเสียไปด้วยไม่
เมื่อคำฟ้องของโจทก์และคำให้การของจำเลยมีประเด็นโต้เถียงกันในข้อไม่มีพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือของผู้ทำพินัยกรรมด้วย ดังนี้ตามปกติโจทก์ย่อมนำพยานเข้าสืบแสดงให้เห็นว่าผู้ทำพินัยกรรมมิได้ลงลายพิมพ์นิ้วมือต่อหน้าพยานผู้นั่งพินัยกรรมได้ แต่เมื่อโจทก์กลับจะขอสืบว่าลายพิมพ์นิ้วมือนั้นจะใช่ของผู้ทำพินัยกรรมหรือไม่ก่อนและจะขอสืบในประเด็นข้อนี้เพียงข้อเดียวเท่านั้น(รายงานพิจารณา 1 พ.ค. 96) ดังนี้ก็เป็นอันว่าโจทก์ไม่ติดใจขอสืบพยานในประเด็นที่ว่าผู้ทำพินัยกรรมจะได้พิมพ์ลายนิ้วมือต่อหน้าผู้นั่งพินัยกรรมหรือไม่ แต่จะขอสืบว่าลายพิมพ์นิ้วมือในพินัยกรรมมิใช่ของผู้ทำพินัยกรรมซึ่งโจทก์มิได้ตั้งประเด็นไว้ในฟ้องเลยเช่นนี้โจทก์สืบไม่ได้ ฎีกาที่ 1572/2492 ฎีกาที่ 982/2496

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและยื่นคำร้องเพิ่มเติมฟ้องว่าโจทก์เป็นทายาทโดยธรรมอันดับ 3 ของนางต่อม เพไล จำเลยเป็นบุตรของนายก้อน เพไล ซึ่งเป็นลูกติดของนายบุญมา สามีคนที่ 2 ของนางต่อมเกิดจากนางสุข จำเลยจึงไม่ใช่ทายาทโดยธรรมของนางต่อม นางต่อมวายชนม์ มีทรัพย์มรดกตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องราคาประมาณ 3,200 บาท จำเลยนำเจ้าพนักงานไปรังวัดที่นามรดกของนางต่อมอ้างว่าได้รับมรดกตามพินัยกรรมของนางต่อม โจทก์เห็นว่าพินัยกรรมฉบับนั้นได้ถูกแก้ไขตกเติมข้อความหลายแห่ง โดยไม่ปรากฏมีลายพิมพ์นิ้วมือของผู้ทำพินัยกรรมและลายมือชื่อพยานรับรองไว้เลย จึงเป็นพินัยกรรมที่ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายนอกจากนั้นพินัยกรรมมีแต่ลายพิมพ์นิ้วมือของนางต่อม ไม่มีพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือขอให้ศาลพิพากษาว่าพินัยกรรมของนางต่อมเป็นโมฆะ และแสดงว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิรับมรดกตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องแต่ผู้เดียว ให้จำเลยส่งทรัพย์มรดกทั้งหมดแก่โจทก์และห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้อง

จำเลยต่อสู้ว่า นางต่อมเจ้ามรดกเลี้ยงดูจำเลยมาในฐานะบุตรบุญธรรม ข้อความในพินัยกรรมบางตอนมีการขีดฆ่าแก้ไขและตกเติม แต่หาใช่ข้อความอันเป็นสาระสำคัญจนถึงกับเปลี่ยนแปลงข้อความแห่งพินัยกรรมจนเสียความประสงค์ของผู้ทำพินัยกรรมไม่ และการขีดฆ่าแก้ไขตกเติมนั้น ก็ได้ทำกันต่อหน้าผู้ทำพินัยกรรมและผู้ทำพินัยกรรมก็ได้ยินยอมอนุญาตแล้ว พินัยกรรมจึงสมบูรณ์ตามกฎหมาย และพินัยกรรมตอนท้ายก็ได้ระบุไว้ชัดว่า นางต่อมได้ลงลายมือชื่อต่อหน้าพยานและยังมีข้อความบันทึกของพยานที่ได้รู้เห็นการทำพินัยกรรมและการกดพิมพ์ลายนิ้วมือของนางต่อม และพยานได้เซ็นชื่อเป็นพยานผู้นั่งพินัยกรรมไว้ถึง 2 คน พยานทั้งสองนี้ย่อมถือได้ว่าเป็นพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือของนางต่อมผู้ทำพินัยกรรมได้

ปรากฏตามรายงานพิจารณาว่าศาลเห็นว่าเมื่อคู่ความรับกันเกี่ยวด้วยทรัพย์ตามบัญชีท้ายฟ้องกันแล้ว หากโจทก์จะรับว่าพินัยกรรมฉบับวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2494 เจ้ามรดกได้ทำไว้จริงแต่ไม่ถูกแบบเท่านั้นแล้ว คดีก็จะวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องสืบพยานแต่ฝ่ายโจทก์แถลงว่า ยังรับในข้อนี้ไม่ได้ โดยโจทก์จะขอสืบว่าลายพิมพ์นิ้วมือของนางต่อมในพินัยกรรมนั้น จะใช่ของนางต่อมหรือไม่ก่อนและจะขอสืบในประเด็นข้อนี้เพียงข้อเดียวเท่านั้น ฝ่ายจำเลยแถลงว่าตามฟ้องของโจทก์มีข้อความชัดแจ้งแล้วว่าโจทก์ฟ้องว่านางต่อมเจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรมไว้จริง แต่พินัยกรรมนั้นทำไม่ถูกแบบเท่านั้น โจทก์ไม่ได้ฟ้องว่าพินัยกรรมนั้นไม่ใช่ของนางต่อมเจ้ามรดกโจทก์จึงไม่มีประเด็นสืบไปถึง ที่สุดคู่ความขอให้ศาลชี้ขาดว่าโจทก์ควรจะสืบในประเด็นที่โจทก์แถลงขอสืบได้หรือไม่ก่อน

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าตามฟ้องโจทก์ไม่ปรากฏว่าโจทก์ประสงค์จะตั้งประเด็นว่าพินัยกรรมฉบับนี้ปลอม กล่าวคือลายพิมพ์นิ้วมือของผู้ทำพินัยกรรมดังกล่าวจะใช่ของนางต่อมหรือไม่โจทก์จึงไม่มีประเด็นที่จะสืบว่าลายพิมพ์นิ้วมือของนางต่อมเป็นของนางต่อมใช่หรือไม่ เมื่อโจทก์ไม่มีประเด็นที่จะสืบในข้อนี้ ประกอบกับคู่ความแถลงไม่ขอสืบพยานในประเด็นข้ออื่นอีกเช่นนี้ คดีจึงเป็นอันไม่ต้องสืบพยานต่อไป คงเหลือปัญหาว่าพินัยกรรมจะสมบูรณ์เพียงใดหรือไม่เท่านั้น แล้วศาลชั้นต้นพิพากษาว่าทรัพย์ตามพินัยกรรมข้อ 1 หมาย 1 และหมาย 3(คือทรัพย์หมาย 1, 2, 3 ท้ายฟ้อง) เป็นมรดกตกได้แก่โจทก์ ทรัพย์ข้อ 1 หมาย 2 (คือทรัพย์หมาย 4 ท้ายฟ้อง) ตกได้แก่จำเลยตามพินัยกรรม

โจทก์และจำเลยอุทธรณ์โดยโจทก์ยื่นอุทธรณ์แยกกันเป็น 2 ฉบับคือทำเป็นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นฉบับหนึ่ง คัดค้านที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่ยอมให้โจทก์นำพยานเข้าสืบ จึงขอสืบพยานบุคคลประกอบตามที่แถลงไว้ในรายงานพิจารณา 1 พฤษภาคม 2496 อีกฉบับหนึ่งคัดค้านคำพิพากษาว่าไม่ถูกต้อง จำเลยอุทธรณ์ว่าพินัยกรรมนั้นสมบูรณ์ทรัพย์มรดกควรตกแก่จำเลยทั้งหมด

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า ทรัพย์ตามบัญชีท้ายฟ้องอันดับ 1, 2, 3 ย่อมตกได้แก่จำเลยตามพินัยกรรม ให้ยกฟ้องของโจทก์เสียทั้งหมด

ศาลฎีกาว่าตามความหมายใน มาตรา 1656 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ นั้น ข้อขูดลบแก้ไขตกเติมย่อมไม่สมบูรณ์เฉพาะส่วนที่ทำไม่ถูกต้องนั้นหาทำให้พินัยกรรมที่สมบูรณ์พลอยเสียไปทั้งหมดด้วยตามแนวคำพิพากษาฎีกาที่ 1572/2492 ระหว่างนายเย็น โจทก์ นางคุ้มที่ 1 นายเอียด ที่ 2 จำเลย และฎีกาที่ 982/2496 ระหว่าง นายอินทร์ที่ 1 นายนวล ที่ 2 โจทก์ นางดีหรือจันดี จำเลย

ส่วนฎีกาข้อหลังนั้นเห็นว่าตามคำฟ้องของโจทก์และตามคำให้การของจำเลยมีประเด็นโต้เถียงกันในข้อไม่มีพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือของนางต่อมผู้ทำพินัยกรรมด้วย ดังนี้ ตามปกติโจทก์ย่อมนำพยานเข้าสืบแสดงให้เห็นว่าผู้ทำพินัยกรรมมิได้ลงลายพิมพ์นิ้วมือต่อหน้าพยานผู้นั่งพินัยกรรมได้ แต่ปรากฏตามรายงานพิจารณา 1 พฤษภาคม 2496 ว่า โจทก์จะขอสืบว่าลายพิมพ์นิ้วมือของนางต่อมในพินัยกรรมนั้นจะใช่ของนางต่อมหรือไม่ก่อน และจะขอสืบในประเด็นข้อนี้เพียงข้อเดียวเท่านั้น เป็นอันว่าในประเด็นที่นางต่อมจะได้พิมพ์ลายนิ้วมือต่อหน้าพยานผู้นั่งพินัยกรรมหรือไม่ โจทก์ไม่ติดใจขอสืบพยานและในชั้นอุทธรณ์โจทก์ก็ยืนยันขอสืบพยานบุคคลตามที่ได้แสดงไว้ในรายงานพิจารณา 1 พฤษภาคม 2496 เป็นการขอสืบพยานบุคคลเพื่อแสดงว่าเป็นพินัยกรรมปลอม โดยลายพิมพ์นิ้วมือในพินัยกรรมมิใช่ลายพิมพ์นิ้วมือของนางต่อม ซึ่งโจทก์มิได้ตั้งประเด็นไว้ในฟ้องเลย จึงไม่มีทางที่ศาลจะอนุญาตได้

พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์

Share