แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีอาญาแผ่นดินซึ่งผู้เสียหายฟ้องศาลเองนั้นถือว่าผู้เสียหายฟ้องแทนแผ่นดิน
คดีซึ่งมิใช่ความผิดต่อส่วนตัวศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยไปแล้วโจทก์จะขอถอนฟ้องชั้นศาลอุทธรณ์ไม่ได้
จำเลยเบิกความเท็จต่อศาลในคดีแพ่งแม้ในคดีนั้นศาลจะไม่เชื่อคำจำเลยและยกฟ้องของจำเลยเสีย โจทก์ก็ยังเป็นผู้เสียหายมีสิทธิฟ้องจำเลยฐานเบิกความเท็จได้
ย่อยาว
คดีขึ้นสู่ศาลฎีกาเฉพาะจำเลยที่ 1 และ 5 ในปัญหาข้อกฎหมายว่า 1. คดีความผิดต่อแผ่นดินโจทก์จะถอนฟ้องเมื่อหลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยแล้วได้หรือไม่ 2. เมื่อโจทก์ถอนฟ้องชั้นอุทธรณ์แล้วสภาพเป็นโจทก์จำเลยย่อมระงับไป ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลย 3. โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1, 5 สมคบกันปลอมหนังสือสัญญาซื้อขายแล้วนำมาเป็นพยานในคดีที่จำเลยที่ 1 ร้องขัดทรัพย์โจทก์ในคดีแพ่งของศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาแดงที่ 675/2494 และสมคบกันเบิกความเท็จต่อศาลขอให้ลงโทษ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่าความผิดฐานปลอมหนังสือโจทก์สืบไม่ได้คงพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดฐานเบิกความเท็จตามกฎหมายอาญามาตรา 155 จำคุกคนละ 3 เดือน
จำเลยอุทธรณ์ โจทก์ขอถอนฟ้องในชั้นอุทธรณ์สำหรับจำเลยทั้งสองศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์ขอถอนฟ้องไม่ได้ และฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยกระทำผิดจริง พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อศาลลงโทษจำเลยในคดีอาญาแผ่นดิน ซึ่งถือว่าเจ้าทุกข์เป็นโจทก์ฟ้องร้องแทนแผ่นดิน โจทก์จะขอถอนฟ้องในชั้นอุทธรณ์ไม่ได้ ฉะนั้นฎีกาข้อกฎหมายข้อ 2. ของจำเลยก็ไม่จำต้องวินิจฉัย ส่วนข้อที่ว่าโจทก์ไม่เสียหายเพราะในสำนวนร้องขัดทรัพย์ศาลไม่เชื่อถ้อยคำจำเลยจึงพิพากษาให้ผู้ร้องแพ้คดีโจทก์นั้นเห็นว่าไม่ว่าโจทก์จะชนะหรือแพ้คดีก็ตามโจทก์ย่อมเสียหายอยู่ชัด ๆ จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ ศาลฎีกาพิพากษายืน