คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6589/2553

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตปรับจำเลย 12,000 บาท ซึ่งต่ำกว่าอัตราโทษขั้นต่ำตามกฎหมาย จึงไม่ชอบ แต่เนื่องจากโจทก์ฎีกาขอให้ศาลลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ถือได้ว่าเป็นฎีกาในทำนองขอให้เพิ่มเติมโทษจำเลยอยู่ในตัว ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษา จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 4 ปี ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 4 ปี คำให้การชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 5 ปี 4 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็น จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 (ที่ถูก 15 วรรคหนึ่ง), 67 จำคุก 1 ปี และปรับ 12,000 บาท คำให้การของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 เดือน ปรับ 8,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติเดือนละครั้งเป็นเวลา 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังในเบื้องต้น ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ เจ้าพนักงานตำรวจเข้าตรวจค้นบ้านนายมานิตย์ พบจำเลยเล่นการพนันอยู่ในบ้านเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยและยึดได้เมทแอมเฟตามีนจำนวน 10 เม็ด ธนบัตรฉบับละ 100 บาท จำนวน 4 ฉบับ เป็นของกลาง จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า เหตุที่มีการจับกุมจำเลยเนื่องมาจากเจ้าพนักงานตำรวจให้สายลับไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลย แต่ในการซื้อขายเมทแอมเฟตามีนระหว่างสายลับกับจำเลย สายลับไปล่อซื้อโดยลำพังเพียงคนเดียว ส่วนสิบตำรวจเอกอภิชาติและจ่าสิบตำรวจชัยเดชกับพวกซุ่มอยู่ปากทางเข้าบ้านนายมานิตย์ห่างประมาณ 100 ถึง 120 เมตร ซึ่งได้ความจากคำเบิกความของสิบตำรวจเอกอภิชาติตอบทนายจำเลยถามค้านว่า พยานและชุดจับกุมไม่เห็นในขณะที่สายลับเข้าไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลย จ่าสิบตำรวจชัยเดชก็เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า พยานและสิบตำรวจเอกอภิชาติไม่เห็นการล่อซื้อและเมื่อจ่าสิบตำรวจชัยเดชมอบธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อให้สายลับไปสักพักหนึ่ง สายลับกลับมาพร้อมเมทแอมเฟตามีนจำนวน 2 เม็ด ให้จ่าสิบตำรวจชัยเดชโดยบอกว่าซื้อมาจากจำเลย พยานโจทก์จึงไม่มีผู้ใดรู้เห็นการล่อซื้อ จะมีการล่อซื้อจริงหรือไม่ ไม่มีพยานหลักฐานโจทก์ยืนยันในเรื่องนี้ ส่วนสายลับซึ่งเป็นประจักษ์พยานที่อ้างว่าล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลย 2 เม็ด นั้น โจทก์ไม่นำมาเบิกความยืนยัน จ่าสิบตำรวจชัยเดชเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า หลังเกิดเหตุไม่มีการนำสายลับมาชี้ยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่าซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลย สิบตำรวจเอกอภิชาติก็เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า หลังจับกุมจำเลยไม่ได้นำสายลับมาชี้ตัวจำเลย ดังนั้น โจทก์จึงไม่มีพยานหลักฐานให้รับฟังว่าสายลับจะได้ซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางจากจำเลยหรือไม่ ทั้งจำเลยเองก็ให้การปฏิเสธในชั้นพิจารณา และเมทแอมเฟตามีนของกลางที่สายลับมอบให้พยานผู้ร่วมจัมกุมก็ไม่เป็นการแน่นอนว่าจะเป็นเมทแอมเฟตามีนที่สายลับซื้อมาจากจำเลย ขณะที่พยานโจทก์เข้าตรวจค้นบ้านนายมานิตย์ปรากฏว่ามีการเล่นการพนันกันอยู่ นอกจากจำเลยแล้วยังมีบุคคลอื่นอีกประมาณ 4 ถึง 5 คน ที่เจ้าพนักงานตำรวจอ้างว่าพบธนบัตรที่มอบให้สายลับไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนในกระเป๋าเสื้อที่จำเลยสวมใส่อาจเป็นธนบัตรที่จำเลยได้มาจากการเล่นการพนันก็เป็นได้ พยานหลักฐานโจทก์เท่าที่นำสืบมายังมีความสงสัยตามสมควรว่า จำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง สำหรับข้อหาฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ได้ความจากผู้ร่วมจับกุมพยานโจทก์ทั้งสอง เมื่อพยานกับพวกเข้าตรวจค้นบ้านนายมานิตย์ เห็นจำเลยวิ่งเข้าห้องน้ำ พยานโจทก์วิ่งตามเข้าไป เห็นจำเลยนั่งยอง ๆ ตรงซอกในห้องน้ำ ทำท่าเหมือนนำสิ่งของยัดใส่ในท่อระบายน้ำ พยานโจทก์ราดน้ำเข้าไปในท่อระบายน้ำ จากนั้นสิบตำรวจเอกอภิชาติกับพวกพาจำเลย ไปดูบริเวณปลายท่อระบายน้ำพบหลอดกาแฟปิดหัวท้ายภายในบรรจุเมทแอมเฟตามีน จำนวน 5 เม็ด ส่วนที่เปียกน้ำอีก 3 เม็ด สอบถามจำเลยรับว่า เมทแอมเฟตามีนเป็นของจำเลย เมื่อพิเคราะห์คำเบิกความของพยานโจทก์แล้ว พยานโจทก์ทั้งสองต่างเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการไปตามอำนาจหน้าที่ไม่ปรากฏว่าเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุน่าระแวงสงสัยว่าพยานโจทก์ทั้งสองจะเบิกความปรักปรำจำเลยให้ต้องรับโทษ เชื่อว่าพยานโจทก์เบิกความไปตามความจริง ทั้งจำเลยก็เบิกความยอมรับ มีเจ้าพนักงานตำรวจเข้าตรวจค้นในบ้าน จำเลยวิ่งหนีหลบเข้าไปในห้องน้ำ และเจ้าพนักงานตำรวจค้นภายในห้องน้ำพบเมทแอมเฟตามีนอยู่ในท่อระบายน้ำ ซึ่งหากพยานโจทก์ไม่เห็นการกระทำของจำเลย ขณะอยู่ในห้องน้ำแล้วก็คงไม่สามารถตรวจพบเมทแอมเฟตามีนของกลางที่ปลายท่อระบายน้ำได้ ประกอบกับบันทึกการจับกุมระบุว่า เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจเข้าไปที่บ้านนายมานิตย์เห็นจำเลยวิ่งเข้าไปในห้องน้ำ และทิ้งสิ่งของลงในท่อระบายน้ำ นอกจากนี้โจทก์ยังมีพันตำรวจตรีสมเดช พนักงานสอบสวนเบิกความ พยานได้สอบปากคำจ่าสิบตำรวจชัยเดชและสิบตำรวจเอกอภิชาติไว้ และพยานแจ้งข้อหาแก่จำเลย จำเลยให้การรับสารภาพและนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ ตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาและบันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ ซึ่งบันทึกระบุว่าจำเลยทิ้งสิ่งของลงในท่อระบายน้ำ ที่จำเลยต่อสู้ว่า จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเพราะกลัวเจ้าพนักงานตำรวจจะทำร้ายนั้น มีแต่จำเลยเบิกความลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นของจำเลย ส่วนปัญหาว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสองต่างเบิกความเพียงว่า เห็นจำเลยทิ้งสิ่งของลงในท่อระบายน้ำและพบเมทแอมเฟตามีนที่ปลายท่อระบายน้ำโดยมิได้เบิกความเลยว่า นอกจากจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางแล้ว จำเลยกระทำการอย่างใด อันแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อจำหน่ายให้แก่ใคร ที่ไหน และอย่างไร แต่ได้ความจากพยานโจทก์ปากจ่าสิบตำรวจชัยเดชเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ลักษณะหลอดกาแฟของกลางปิดหัวท้ายซึ่งต้องตัดปลายที่ปิดออกถึงจะนำเมทแอมเฟตามีนมาได้ และพันตำรวจตรีสมเดชเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า เมทแอมเฟตามีนบรรจุในหลอดกาแฟปิดผนึกหัวท้าย ไม่มีร่องรอยการแกะหรือเปิดออก เมื่อพิจารณาถึงเมทแอมเฟตามีนของกลางบรรจุในหลอดกาแฟปิดหัวท้ายจำนวน 8 เม็ด โดยไม่ได้แบ่งบรรจุทีละเม็ดเพื่อสะดวกในการขาย ประกอบกับเมทแอมเฟตามีนของกลางเพียง 8 เม็ด ถือว่าเป็นจำนวนเล็กน้อย โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดมานำสืบสนับสนุน จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายแต่อย่างใด ฟังไม่ได้ว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่ฟังได้เพียง จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้นต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง เมื่อปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ภาค 7 ลงโทษปรับจำเลย 12,000 บาท ซึ่งต่ำกว่าอัตราโทษขั้นต่ำตามกฎหมาย จึงไม่ชอบ แต่เนื่องจากโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่าย ถือได้ว่าเป็นฎีกาในทำนองขอให้เพิ่มเติมโทษจำเลยอยู่ในตัว ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษปรับจำเลย 21,000 บาท ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74 คงปรับ 14,000 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7

Share