แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยใช้กำลังกายประทุษร้ายกอดปล้ำและฉุดคร่ากระทำอนาจารผู้เยาว์อายุ 13 ปีบุตรสาวของโจทก์อันเป็นการทำละเมิดนั้นผู้ได้รับความเสียหายจากการทำละเมิดก็คือผู้เยาว์ซึ่งถูกกอดปล้ำและฉุดคร่ากระทำอนาจารโจทก์ซึ่งเป็นมารดามิใช่เป็นผู้เสียหายจากการทำละเมิดด้วย จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นส่วนตัว
ตามคำฟ้องของโจทก์ระบุฐานะของมารดาผู้เยาว์ซึ่งเป็นโจทก์ไว้ว่า ‘นางวิง ยังสุข ในฐานะส่วนตัวและมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กหญิงมะลิวัลย์ ยังสุข ผู้เยาว์’ แสดงชัดแจ้งว่า มารดาเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในสองฐานะ คือ ฟ้องในฐานะส่วนตัวฐานะหนึ่ง กับฟ้องแทนผู้เยาว์ในฐานะที่เป็นมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมอีกฐานะหนึ่งจึงถือว่าคำฟ้องนั้น จึงเป็นคำฟ้องของผู้เยาว์โดยมารดาฟ้องแทนอีกด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 ผู้เยาว์ อายุ 18 ปี บุตรจำเลยที่ 1 ความปกครองของจำเลยที่ 1 ได้บังอาจใช้กำลังกายประทุษร้ายกอดปล้ำและฉุดคร่ากระทำอนาจารเด็กหญิงมะลิวัลย์ผู้เยาว์อายุ 13 ปีบุตรโจทก์ โดยเด็กหญิงมะลิวัลย์ ไม่ยินยอมอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย ถึงบาดเจ็บ ศาลหลังสวนได้พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 ทางอาญาฐานกระทำอนาจาร คดีเสร็จเรื่องไปแล้ว การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นละเมิด จำเลยที่ 1 ไม่ได้ใช้ความตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลโจทก์ได้รับความอับอายขายหน้าและเสื่อมเสียเกียรติยศชื่อเสียงจนตลอดกาล จำต้องเรียกร้องเอาค่าทดแทนเป็นเงิน 10,000 บาท
จำเลยต่อสู้ว่า จำเลยที่ 1 มิได้มีความประมาทเลินเล่อ ได้ใช้ความระวังตามสภาพและฐานะของบิดาในหน้าที่เลี้ยงดูบุตรแล้ว ส่วนจำเลยที่ 2 ได้ล่วงเกินบุตรโจทก์ในขณะปราศจากจิตสำนึกเพราะเป็นโรคประสาท ไม่ควรต้องรับผิด และว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ก่อนนัดสืบพยาน จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาดังกล่าวแล้ว พิพากษาว่านางวิงไม่มีอำนาจฟ้องในฐานะส่วนตัวและตามคำฟ้องไม่ปรากฏว่า นางวิงได้ยื่นฟ้องในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กหญิงมะลิวัลย์ ในช่องคำว่า”โจทก์” ที่ว่ามารดาผู้แทนโดยชอบธรรมเด็กหญิงมะลิวัลย์ก็เป็นแต่เพียงบอกฐานะของนางวิงเท่านั้น ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องของโจทก์พอเข้าใจได้ว่า นางวิงเป็นโจทก์ทั้งในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กหญิงมะลิวัลย์และนางวิงอ้างว่า ในฐานะที่เป็นมารดาได้รับความอับอายขายหน้าและเสื่อมเสียเกียรติยศชื่อเสียงเนื่องจากการกระทำละเมิดของจำเลยด้วย จึงมีอำนาจฟ้องเป็นส่วนตัว พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยทั้งสองฎีกา
ฎีกาข้อแรกซึ่งมีปัญหาว่า นางวิงมีอำนาจฟ้องเป็นส่วนตัวหรือไม่นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำบรรยายฟ้องกล่าวว่า จำเลยที่ 2 ใช้กำลังกายประทุษร้ายกอดปล้ำและฉุดคร่ากระทำอนาจารเด็กหญิงมะลิวัลย์ ยังสุข อายุไม่เกิน 13 ปี บุตรโจทก์ อันเป็นการทำละเมิดให้เกิดความเสียหาย จำเลยที่ 1 เป็นบิดา จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้เยาว์ จะต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 2 ในผลแห่งการทำละเมิดด้วย เห็นได้ว่าผู้ได้รับความเสียหายจากการทำละเมิดของจำเลยที่ 2 ก็คือเด็กหญิงมะลิวัลย์ซึ่งถูกกอดปล้ำและฉุดคร่ากระทำอนาจาร ส่วนนางวิงมารดาของเด็กหญิงมะลิวัลย์หาได้ถูกจำเลยที่ 2 ทำละเมิดด้วยไม่ นางวิงจึงไม่ใช่ผู้เสียหายจากการทำละเมิดของจำเลยที่ 2 ไม่มีอำนาจฟ้องเป็นส่วนตัว
ฎีกาข้อสองมีปัญหาว่า คำฟ้องคดีนี้จะถือได้หรือไม่ว่าเป็นคำฟ้องของเด็กหญิงมะลิวัลย์ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าตามคำฟ้องได้ระบุฐานะของนางวิงผู้เป็นโจทก์ไว้ว่า “นางวิง ยังสุข ในฐานะส่วนตัวและมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กหญิงมะลิวัลย์ ยังสุข” ซึ่งแสดงชัดแจ้งอยู่แล้วว่า นางวิงเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในสองฐานะคือ ฟ้องในฐานะส่วนตัวฐานะหนึ่ง กับฟ้องแทนเด็กหญิงมะลิวัลย์ผู้เยาว์ในฐานะที่นางวิงเป็นมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กหญิงมะลิวัลย์อีกฐานะหนึ่ง จึงถือได้ว่าคำฟ้องคดีนี้นอกจากจะเป็นคำฟ้องของนางวิงในฐานะส่วนตัวแล้ว ยังเป็นคำฟ้องของเด็กหญิงมะลิวัลย์โดยนางวิงฟ้องแทนอีกด้วย
แม้คำฟ้องของนางวิงในฐานะส่วนตัวต้องยกเสียเพราะนางวิงไม่มีอำนาจฟ้อง ก็จะยกฟ้องทั้งหมดในส่วนที่เป็นของเด็กหญิงมะลิวัลย์ด้วยมิได้ เพราะเด็กหญิงมะลิวัลย์มีอำนาจฟ้องจำเลยอยู่
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้ยกฟ้องเฉพาะของนางวิงในฐานะส่วนตัว ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาพิพากษาใหม่ในส่วนที่เกี่ยวกับคำฟ้องของเด็กหญิงมะลิวัลย์