คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1005/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อน ศาลชั้นต้นพิพากษาให้บ.โจทก์ในคดีนั้นมีสิทธิซื้อที่ดินคืนจากจำเลย หากจำเลยไม่ยอมขายให้ถือเอาคำพิพากษา แทนการแสดงเจตนา ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ระหว่างฎีกาจำเลยขอทุเลาการบังคับ ศาลฎีกามีคำสั่ง อนุญาตให้จำเลยทุเลาการบังคับคดีไว้ แต่ห้ามจำเลยทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาทในระหว่างฎีกา เมื่อปรากฏว่าคำพิพากษา ของศาลอุทธรณ์กับคำสั่งให้ทุเลาการบังคับคดีของศาลฎีกา ที่อนุญาตให้จำเลยทุเลาการบังคับคดีโดยมีเงื่อนไขห้ามจำเลย ทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาทในระหว่างฎีกานั้นมีผลบังคับอยู่ก่อนที่โจทก์จะฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เมื่อยังไม่มีการยกเลิก คำสั่งดังกล่าวย่อมผูกพันจำเลยการที่จำเลยไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ในคดีหลังนี้ จึงเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของศาลฎีกา อีกทั้งโจทก์ในคดีนี้ก็มิได้เป็นคู่ความในคดีก่อน โจทก์จึงไม่มีสิทธิยื่นคำแถลงขอให้ศาลชั้นต้นคดีหลังนี้ให้มีหนังสือแจ้งไปยังเจ้าพนักงานที่ดินให้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอมในคดีนี้ได้ เพราะเป็นการขอให้ศาลชั้นต้นในคดีนี้ยกเลิกคำสั่งของศาลฎีกาในคดีแพ่งเรื่องก่อนซึ่งเป็นคนละคดีกันและถึงที่สุดไปแล้ว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่4 เมษายน 2533 จำเลยจดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 14442ตำบลราษฎร์นิยม (ไทรใหญ่) อำเภอไทรน้อย (บางบัวทอง)จังหวัดนนทบุรี เนื้อที่ 4 ไร่ 2 งาน 38 ตารางวา ไว้แก่โจทก์เป็นเงิน 1,000,000 บาท กำหนดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ15 ต่อปี โดยให้ถือเอาสัญญาจำนองเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินด้วย ต่อมาโจทก์ได้บอกกล่าวบังคับจำนอง โดยให้จำเลยชำระเงินคืนหรือไถ่ถอนจำนองภายในกำหนด 30 วันนับแต่วันที่จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้ศาลบังคับชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยเป็นเวลา5 ปี เป็นเงิน 750,000 บาท หากจำเลยไม่ชำระ ขอให้ยึดทรัพย์จำนองดังกล่าวออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์ตามฟ้องจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นโจทก์และจำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันมีข้อความว่าจำเลยยินยอมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 14442ตำบลราษฎร์นิยม (ไทรใหญ่) อำเภอไทรน้อย (บางบัวทอง)จังหวัดนนทบุรี ทั้งแปลงให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้จำนองตามฟ้องทั้งนี้ภายในกำหนด 7 วันนับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความค่าฤชาธรรมเนียม ค่าใช้จ่ายในการโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์เป็นผู้ออกเอง หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย โจทก์ยินยอมตามนั้นโดยไม่ติดใจเรียกร้องสิ่งใดจากจำเลยอีก ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนที่ศาลไม่สั่งคืนและค่าทนายความให้เป็นพับ ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม
ต่อมาโจทก์ยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า หลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมแล้ว โจทก์ได้ไปขอจดทะเบียนโอนชื่อในโฉนดที่ดินจากชื่อของจำเลยเป็นชื่อโจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรีไม่ยอมจดทะเบียนโอนให้อ้างว่ามีคำสั่งของศาลฎีกาอายัดที่ดินแปลงดังกล่าว และมีคำสั่งห้ามจำเลยทั้ง 3 คือ จำเลยคดีนี้ทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินตามโฉนดนี้ ตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 449/2535ของศาลชั้นต้น ขอให้ศาลชั้นต้นมีหนังสือแจ้งแก่เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรีให้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดพิพาทให้แก่โจทก์ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นัดพร้อม ในวันนัดพร้อม ศาลชั้นต้นสอบจำเลยรับว่า จำเลยได้จดทะเบียนจำนองที่ดินตามฟ้องไว้แก่โจทก์ตั้งแต่ก่อนที่จะถูกฟ้องคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 449/2535ของศาลชั้นต้นและรับว่าก่อนทำสัญญาประนีประนอมยอมความจำเลยได้ทราบคำสั่งของศาลฎีกาที่สั่งห้ามจำเลยทำนิติกรรมใด ๆเกี่ยวกับที่ดินตามโฉนดพิพาทนี้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เมื่อจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์คดีนี้โดยฝ่าฝืนคำสั่งของศาลฎีกา ทั้ง ๆ ที่จำเลยรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินตามโฉนดพิพาทศาลชั้นต้นจึงไม่อาจแจ้งให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้
โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 14442ตำบลราษฎร์นิยม (ไทรใหญ่) อำเภอไทรน้อย (บางบัวทอง)จังหวัดนนทบุรี คดีเดิมนายบ๊วย ชุนอ่อน เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นจำเลยที่ 3 ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 449/2535ของศาลชั้นต้น เรื่องพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2535 ให้นายบ๊วยโจทก์คดีเดิมมีสิทธิ์ซื้อที่ดินคืนจากจำเลย หากจำเลยไม่ยอมขายให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกาและระหว่างฎีกาจำเลยขอทุเลาการบังคับ ศาลฎีกามีคำสั่งคำร้องที่ 1465/2538ลงวันที่ 5 กรกฎาคม 2538 อนุญาตให้จำเลยทุเลาการบังคับคดีไว้แต่ห้ามจำเลยทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาทในระหว่างฎีกาต่อมาวันที่ 25 กรกฎาคม 2538 โจทก์คดีนี้ได้ฟ้องบังคับจำนองจำเลยต่อศาลชั้นต้น โจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยยินยอมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดดังกล่าวให้โจทก์และศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมให้เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2538 หลังจากนั้นโจทก์ไปติดต่อกับเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรี สาขาบางบัวทอง ให้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดดังกล่าว แต่เจ้าพนักงานที่ดินไม่ยอมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมให้เนื่องจากมีคำสั่งคำร้อง ของศาลฎีกาดังกล่าว วันที่ 25 เมษายน 2539 ศาลฎีกาในคดีก่อนได้มีคำพิพากษาแก้เป็นว่า ให้นายบ๊วยใช้สิทธิซื้อที่พิพาทจากจำเลยภายใน 30 วัน นับแต่วันอ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษา เห็นว่าในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 449/2535 ของศาลชั้นต้น คำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์กับคำสั่งให้ทุเลาการบังคับคดีของศาลฎีกาตามคำสั่งคำร้องที่ 1645/2538 ลงวันที่5 กรกฎาคม 2538 ที่มีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยทุเลาการบังคับคดีโดยมีเงื่อนไขห้ามจำเลยทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินในระหว่างฎีกานั้น มีผลบังคับอยู่ก่อนที่โจทก์จะฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้และก่อนที่ศาลชั้นต้นจะพิพากษาตามยอม เมื่อยังไม่มีการยกเลิกคำสั่งดังกล่าวย่อมผูกพันจำเลย การที่จำเลยไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของศาลฎีกา อีกทั้งโจทก์ในคดีนี้ก็มิได้เป็นคู่ความในคดีก่อนคำแถลงของโจทก์ในคดีนี้ที่ขอให้ศาลชั้นต้นมีหนังสือแจ้งไปยังเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรีให้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้โจทก์นั้น ถือได้ว่าเป็นการขอให้ศาลชั้นต้นในคดีนี้ยกเลิกคำสั่งของศาลฎีกาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 449/2535ของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นคนละคดีกันและถึงที่สุดแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกเลิกคำสั่งห้ามของศาลฎีกาในอีกคดีหนึ่งเพื่อให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการจดทะเบียนสิทธิให้แก่ตนตามคำพิพากษาตามยอมในคดีนี้
พิพากษายืน

Share