แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ทางภารจำยอมนั้นสามยทรัพย์และภารยทรัพย์ไม่จำเป็นต้องอยู่ติดกัน ดังนี้ แม้จะมีคลองสาธารณะคั่นอยู่ก็อาจเป็นทางภารจำยอมได้ โจทก์ที่ 1 ไม่ได้ฟ้องว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ที่ 1 ดังนั้น การที่จำเลยฎีกาว่าทางพิพาทไม่เป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ที่ 1 จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่2338 โจทก์ที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 74935โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมกับผู้อื่นในที่ดินโฉนดเลขที่ 5539 โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ใช้ทางในที่ดินโฉนดเลขที่ 2338 ของจำเลย เป็นทางเข้าออกสู่ถนนวุฒากาศมาเกินกว่า 20 ปี โจทก์ทั้งสองจึงได้ภารจำยอมในทางดังกล่าว ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยเปิดทางพิพาทในที่ดินโฉนดเลขที่ 2338 ดังกล่าว กว้าง 3 เมตรครึ่งจากถนนวุฒากาศลึกตลอดแนวติดคลองจีนสุดเขตด้านทิศใต้ของที่ดินจำเลยและให้รื้อรั้วที่ปิดกั้นด้วย
จำเลยให้การว่า ที่ดินของจำเลยไม่ได้ตกอยู่ในภารจำยอมหรือเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ โจทก์ที่ 1 หรือบิดามารดาของโจทก์ที่ 1 ไม่ได้ใช้ที่ดินของจำเลยเป็นทางเข้าออกติดต่อกันเกิน 10 ปี โจทก์ที่ 2 ไม่เคยใช้ทางในที่ดินโฉนดเลขที่ 2338 เป็นทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณะ แต่โจทก์ที่ 2 ได้ใช้ที่ดินโฉนดเลขที่ 74932 ของพันเอกประยูรเป็นทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณะ ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยเปิดทางพิพาทในที่ดินโฉนดเลขที่ 2338เลขที่ดิน 116 ตำบลบางค้อ (บางนางนอง) อำเภอบางขุนเทียนกรุงเทพมหานคร ด้านทิศใต้กว้าง 3 เมตรครึ่ง ทั้งนี้ไม่เกินจากแนวรั้วสังกะสีที่ปรากฏในภาพหมาย จ.7 จากถนนวุฒากาศลึกเข้าไปตลอดแนวติดคลองจีนสุดเขตที่ดินทางด้านทิศใต้ของจำเลยตามสภาพเดิม และให้รื้อรั้วที่ปิดกั้นออกไปด้วย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ทางพิพาทในที่ดินโฉนดเลขที่ 2338เลขที่ดิน 116 ตำบลบางค้อ (บางนางนอง) อำเภอบางขุนเทียนกรุงเทพมหานคร มิใช่ทางจำเป็นสำหรับที่ดินของโจทก์ที่ 2ตามฟ้องนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ที่ 1 มีทั้งพยานบุคคลและพยานภาพถ่ายหมาย จ.6-จ.10 เชื่อมโยงสอดคล้องต้องกันสมเหตุสมผล ทางพิพาทและสะพานข้ามคลองไปสู่ทางพิพาทตามภาพถ่ายดังกล่าวมีลักษณะใช้มานานแล้ว จำเลยคงมีแต่พยานบุคคลเบิกความลอย ๆ โดยไม่มีหลักฐานอื่นสนับสนุน พยานหลักฐานโจทก์ที่ 1 มีน้ำหนักน่าเชื่อถือยิ่งกว่าพยานจำเลย จึงฟังได้ว่า มารดาโจทก์ที่ 1 และครอบครัวรวมทั้งตัวโจทก์ที่ 1 ได้ใช้ทางพิพาทมาเกินกว่า 10 ปี แล้วทางพิพาทจึงตกอยู่ในภารจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินโฉนดเลขที่5539 ของโจทก์ที่ 1 ซึ่งสามยทรัพย์และภารยทรัพย์ไม่จำเป็นต้องอยู่ติดกัน ดังนี้ แม้จะมีคลองสาธารณะคั่นอยู่ก็อาจเป็นภารจำยอมได้
ส่วนข้อที่จำเลยฎีกาว่า ทางพิพาทไม่เป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 5539 ของโจทก์ที่ 1 นั้น ประเด็นข้อนี้โจทก์ที่ 1ไม่ได้ฟ้องว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ที่ 1แต่อย่างใด จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน